หวนนึกถึงถ้อยคำประโยคนั้นในจดหมายเมื่อคืนขึ้นมา เขาก็นึกหยามหยันในใจ คร้านจะมองนางอีก เพียงรีบสาวเท้าผ่านลานเรือนเข้าไปยังเรือนด้านข้าง
หลี่หมินเห็นสีหน้าผิงอวี้ดูประหลาดใจ เขาจึงค่อยรู้ตัวว่าตนเองไม่ควรจะพูดมากกับบุตรีของขุนนางต้องโทษ ได้แต่เกาศีรษะแกรกๆ แล้วรีบเดินตามผิงอวี้กลับห้องไป
หวังซื่อเจายังยืนอยู่ที่เดิม สองตาจ้องมองร่างฟู่หลันหยาไม่วางตาจนถึงกับลืมก้าวเดินอยู่พักใหญ่
ปกติแล้วฟู่หลันหยาก็นึกรังเกียจคนผู้นี้ พอจับได้ว่าเขากำลังจ้องมองด้วยแววตาหื่นกระหาย นางก็หันกลับไปอย่างเย็นชา จับมือแม่นมหลินประคองตัวเดินเข้าห้องแล้วปิดประตู
หวังซื่อเจามองตามด้านหลังฟู่หลันหยาไป เห็นว่าถึงแม้นางจะวางตัวสุภาพเคร่งขรึม แต่อากัปกิริยายังคงเผยให้เห็นท่าทางเฉกเช่นสาวบริสุทธิ์ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาพลันนึกสงสัยทันที ผิงอวี้คงยังมิทันได้มีสัมพันธ์อันใดกับนางกระมัง
หวังซื่อเจามักอวดโอ่ว่ารู้จักหญิงสาวมามาก จึงมั่นใจว่าตนเองมีสายตาอันเฉียบแหลม หลังใคร่ครวญดูแล้วก็ค่อยๆ เผยสีหน้ายินดี ความอึดอัดคับข้องใจช่วงสองสามวันมานี้มลายไปจนสิ้น เขาครวญเพลงเบาๆ แล้วเดินทอดน่องอย่างไม่รีบร้อนกลับห้อง
ผิงอวี้รินน้ำชาให้ตนเองชามหนึ่งแล้วยกดื่มจนหมด เขายืนอยู่ข้างโต๊ะพลางครุ่นคิดกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเหลือบไปเห็นหลี่หมินโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงพูดขึ้นเรียบๆ “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับบุตรีขุนนางต้องโทษ”
หลี่หมินไม่คาดคิดว่าผิงอวี้จะถามขึ้นมา จึงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
แม้เขาจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผิงอวี้จริง แต่โดยส่วนตัวเขาก็นับถือผิงอวี้อย่างมากมาโดยตลอด
ตอนที่ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นองครักษ์เสื้อแพร เขาเคยฟังพี่ชายคนโตกล่าวถึงผิงอวี้ด้วยความชื่นชมมาไม่น้อย
ตอนนั้นพี่ชายคนโตอยู่ในค่ายพลอู่จวิน เนื่องจากค่ายพลอู่จวินในราชวงศ์นี้มักเรียกเกณฑ์ทั้งทหารราบและทหารม้าอยู่เนืองๆ ในกองทัพจึงมีแต่ทหารที่เข้มแข็งและแม่ทัพที่ชาญฉลาด ผู้ที่แสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่นในค่ายพลอู่จวินย่อมจะถูกเรียกเป็นยอดอัจฉริยบุคคล
ดังนั้นพอพี่ชายคนโตเอ่ยถึงชื่อผิงอวี้ให้ฟังหลายครั้งเข้า เขาก็จดจำชื่อนี้ได้ขึ้นใจ
ภายหลังเพื่อจะคัดเลือกแม่ทัพที่เก่งกาจ อดีตฮ่องเต้จึงนำระบบที่บรรพชนคิดค้นกลับมาใช้ ด้วยการรื้อฟื้นการทดสอบทางการทหารที่จัดขึ้นสามปีครั้งขึ้นมาใหม่ เดิมทีพี่ชายคนรองของเขาก็ไม่ต้องการได้ตำแหน่งโดยอาศัยบารมีของบรรพบุรุษอยู่แล้ว พอได้ทราบข่าวนี้จึงรีบไปลงชื่อทดสอบอย่างไม่ลังเล
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว พี่ชายคนรองอ่านตำราพิชัยยุทธ์มามาก ทั้งยังหลงใหลในการต่อสู้ จนสามารถปราบคู่ต่อสู้ที่แทบจะไม่มีในเมืองจิงเฉิงลงได้อย่างราบคาบ คิดว่าจะต้องสอบได้อันดับหนึ่งเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่าหลังผ่านการคัดเลือกมาเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงการทดสอบรอบที่สามที่ให้ประลองขี่ม้าและยิงธนู พี่ชายคนรองของเขากลับพลาดพลั้งจนพ่ายแพ้ให้แก่ผิงอวี้ สุดท้ายจึงคว้ามาได้เพียงอันดับที่สอง
พี่ชายคนรองกลับมาแล้วยังรู้สึกไม่ยินยอม บอกว่าผิงอวี้ฝึกฝนตนเองอยู่ในค่ายทหารที่เซวียนฝู่มาหลายปี ได้ขี่ม้ารบราฆ่าฟันทั้งวัน จะไม่เก่งด้านขี่ม้าและยิงธนูได้หรือ
ยังบอกอีกว่าการทดสอบทางการทหารในรอบที่สามควรจะเพิ่มทักษะการใช้ดาบและกระบี่เข้ามาด้วย ประลองกันเช่นนี้จึงจะเรียกว่ายุติธรรม
อย่างที่โบราณว่าไว้ หากไม่เคยต่อสู้กันย่อมไม่รู้จักกัน แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ภายหลังพี่รองของเขาก็กลายมาเป็นสหายสนิทกับผิงอวี้ในที่สุด และเพราะเหตุนี้ผิงอวี้จึงดูแลใส่ใจเขามาโดยตลอด พอได้เข้ามาเป็นองครักษ์เสื้อแพรได้ไม่นาน ก็ได้รับโอกาสให้ติดตามผิงอวี้ออกมาปฏิบัติงานข้างนอก…