ขณะครุ่นคิดจนเหม่อลอย เมื่อหลี่หมินเงยหน้าขึ้นก็เห็นผิงอวี้ที่ยังคงจ้องมองเขาอยู่ ท่าทางราวกับกำลังรอฟังคำตอบจากเขาด้วยสีหน้าจริงจัง จึงได้แต่ยิ้มพูดว่า “คุณหนูฟู่ถามข้าน้อยว่าชายาซื่อจื่อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือ แต่ข้าน้อยยังไม่ทันได้บอกนาง ใต้เท้าก็กลับเข้ามาก่อน”
สีหน้าผิงอวี้มีแววประหลาดใจแวบหนึ่ง ข้อความในจดหมายเมื่อคืนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ บ่าวไพร่ในวังมู่อ๋องส่วนมากก็ไม่ทราบเรื่องที่ชายาซื่อจื่อถูกจับตัวไป คิดไม่ถึงว่านางจะคาดเดาเรื่องราวจนทราบความจริงได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้
นิ่งเงียบไปพักใหญ่ เห็นหลี่หมินใช้น้ำเสียงผ่อนคลายยามพูดถึงฟู่หลันหยา เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่น้อย เขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องใจขึ้นอีกหลายส่วน จึงมองดูหลี่หมินด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วออกปากว่า “คุณหนูฟู่เป็นคนฉลาดล้ำ ทั้งยังรอบรู้เรื่องกลยุทธ์ หากเจ้าไม่มีธุระอันใดก็ไม่ต้องพูดคุยกับนางให้บ่อยนัก มิเช่นนั้นนางอาจโน้มน้าวจนเจ้ายอมบอกเรื่องที่ไม่ควรบอก จนนำหายนะมาสู่ตัวเจ้าได้”
หลี่หมินฟังออกว่าน้ำเสียงผิงอวี้มิใช่แค่ตักเตือน แต่เหมือนฉุนโกรธด้วย เขาอดจะสงสัยไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่หมินจึงพยักหน้ารับปาก “ขอรับ ใต้เท้าผิง”
หัวคิ้วผิงอวี้ยังไม่คลาย มือประคองถ้วยชาพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ไม่รู้ว่าเบื้องหลังสกุลฟู่มีความลับใดกันแน่ เพื่อจะเล่นงานฟู่หลันหยาให้ได้ นิกายเจิ้นหมัวถึงกับส่งผู้คุมกฎใหญ่ของนิกายมาลงมือด้วยตนเอง โชคดีที่ขณะแลกเปลี่ยนตัวประกัน หลันเจิ้งเกิดหลุดปากออกมา มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่อาจคิดได้ว่าหลันอี๋เหนียงผู้ลึกลับจะเป็นถึงผู้คุมกฎซ้ายของนิกายเจิ้นหมัว
ตอนนั้นพอมู่เฉิงปินได้ยินเข้าก็ทั้งเดือดดาลทั้งตกใจ แทบอยากจะสังหารหลันอี๋เหนียงด้วยตนเองเสียให้ได้ ปกติแล้วมู่เฉิงปินมักจะระมัดระวังตัวเสมอมาไม่ว่าเรื่องใด ไม่เคยเลือกเดินทางผิดมาก่อน ใครเลยจะรู้ว่าในที่สุดก็ต้องมาพลาดท่าเสียทีให้แก่มารยาหญิง
หากมิใช่เพราะชายาของตนเองยังอยู่ในมือหลันอี๋เหนียงล่ะก็ มู่เฉิงปินคงจะรีบใช้ป้ายคำสั่งทางการทหารระดมทหารกล้าและแม่ทัพที่เก่งกาจรอบๆ ด่านชวีถัวมาจัดการนิกายเจิ้นหมัวไปแล้ว
ภายหลังแม้จะช่วยชายากลับมาได้อย่างปลอดภัยสมดังหวัง แต่เพราะจะปาใส่หนูก็กลัวถูกของมีค่าด้านข้างจึงไม่สามารถจับตัวหลันอี๋เหนียงกับหลันเจิ้งกลับมาได้ ต้องเสียท่าให้นิกายเจิ้นหมัวไปหนหนึ่งอย่างมิอาจทำอะไรได้เลย
คิดถึงตรงนี้ผิงอวี้ก็อดจะเริ่มสงสัยสิ่งที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ นิกายเจิ้นหมัวเป็นพรรคมารที่ขึ้นชื่อในแถบทางใต้ของอวิ๋นหนาน ในนิกายมีคนเก่งกาจอยู่มากมาย อีกทั้งยามนี้พวกเขาก็อยู่ห่างไกลจากเมืองจิงเฉิง ต่อให้คนของสำนักบูรพาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังหลิงจะเก่งกาจสักเพียงใด ก็คงไม่อาจกำราบนิกายเจิ้นหมัว ได้
อาจกล่าวได้ว่าเหตุผลที่นิกายเจิ้นหมัวจ้องจะเล่นงานฟู่หลันหยาเป็นความคิดของนิกายเจิ้นหมัวเอง
หรือก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์ผิดพลาดไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักบูรพาเลยแม้แต่น้อย?
ทันใดนั้นเขาก็นึกภาพเหตุการณ์ที่หวังซื่อเจารีบร้อนสังหารพ่อบ้านโจวในคืนนั้น ไม่สิ ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหวังหลิง แล้วจะอธิบายเรื่องที่อีกฝ่ายส่งคนมาแอบแฝงในจวนสกุลฟู่ทั้งที่ตนเองอยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันหลี่ได้อย่างไร
นอกจากนี้หากดูจากเหตุการณ์ที่พ่อบ้านโจวถูกสังหาร ความเกี่ยวข้องของหวังหลิงกับเรื่องนี้คงมีมาเนิ่นนานแล้วก่อนที่นิกายเจิ้นหมัวจะเข้ามา เมื่อวานกลางป่าลึก หวังซื่อเจาก็อยากจะออกไปค้นหาชาวอี๋ที่ถูกเข็มพิษอย่างกระตือรือร้นผิดปกติ ท่ามกลางเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่ให้คิดมากก็คงไม่ได้
เขาหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าฟู่หลันหยาเก็บซ่อนความลับใดไว้กันแน่ จึงชักพาให้คนเหล่านี้ต้องพยายามเลือดตาแทบกระเด็น ตอนนี้เพิ่งเดินทางถึงชวีถัว ก็มีทั้งสำนักบูรพาและนิกายเจิ้นหมัวคอยซุ่มจับตาดุจพยัคฆ์จับจ้องเหยื่อเสียแล้ว ต่อไปไม่รู้ว่ายังจะชักพาปีศาจร้ายตนใดเข้ามาอีก
นิ่งคิดกับตนเองอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขาก็ปรากฏภาพดวงตาวาววามด้วยหยาดน้ำตาของนางคู่นั้นขณะอยู่ริมลำธารเมื่อคืนนี้ ดวงตาดำขลับพร่างพรายด้วยม่านน้ำตา สุกใสวาววามถึงเพียงนั้น ช่างชวนให้เขาหวนนึกถึงประกายดาวพราวระยิบระยับเหนือทุ่งหญ้าในเขตแดนเผ่าต๋าต๋าที่เคยเห็นมา
เขาทำเสียงหึอย่างเย็นชา วางถ้วยชาลงแรงๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องด้านใน
หลี่หมินได้ยินเสียงผิงอวี้วางถ้วยชาอย่างแรงก็สะดุ้งโหยง มองดูด้านหลังของอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ใต้เท้าผิงเป็นอะไรกันแน่
ติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ เวลา 12.00 น.