นางนึกออกแล้วว่าระหว่างเดินทางมาเคยได้ยินหลี่หมินเรียกเขาว่า ‘คุณชายเติ้ง’ ช่วงหลายวันมานี้ พวกนางนายบ่าวพบเจอเรื่องราวมามาก จำต้องคอยระวังสัญญาณเตือนทั้งหลายรอบกายมากเป็นพิเศษ จึงอดไม่ได้ที่จะมองดูสองตาของคุณชายเติ้งผู้นั้นด้วยความระแวง เห็นเขาอายุราวยี่สิบปีดูไล่เลี่ยกับใต้เท้าผิง จากท่าทางและเสื้อผ้าที่สวมใส่คงเป็นแขกคนสำคัญของวังมู่อ๋อง
นางลอบประเมินคนผู้นี้จากรูปโฉมภายนอก หากว่ากันอย่างเป็นธรรมแล้ว ใต้เท้าผิงเป็นบุรุษรูปงามที่พบเจอได้ยาก ซึ่งความรูปงามของใต้เท้าผิงยังแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและท่าทีอันหยิ่งผยอง ในขณะที่คุณชายเติ้งตรงหน้าผู้นี้กลับดูสุภาพเรียบร้อยอย่างมาก ไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดหรือไม่ จึงได้เห็นว่าสายตาเขายามทอดมองคุณหนู…ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
นางอดไม่ได้ที่จะนึกสงสัยว่าคนผู้นี้อาจมีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับสกุลฟู่
เวลานี้ผิงอวี้หารือเรื่องต่างๆ กับมู่เฉิงปินจนตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะกันแล้ว เขาเหลือบมองมาทางฟู่หลันหยา จึงเห็นว่าแม้นางจะมีท่าทีสุขุม ยืดหลังเหยียดตรง ทว่าสีหน้ากลับดูไม่ค่อยดี คงจะเหนื่อยล้ามากทีเดียว
ผิงอวี้จึงหันไปพูดกับมู่เฉิงปินว่า “อีกสักครู่ตอนที่ไต่สวน บุตรีขุนนางต้องโทษคงไม่สะดวกจะอยู่ตรงนี้ด้วย ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้พวกนางทั้งนายและบ่าวไปพักอยู่ที่เรือนใด”
มู่เฉิงปินจึงค่อยนึกถึงฟู่หลันหยาและบ่าวขึ้นมาได้ ว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเขาหรือมู่อ๋องผู้เป็นบิดาก็ต่างรู้จักมักคุ้นกันดีกับฟู่ปิง ในตอนแรกที่ฟู่ปิงหลุดจากอำนาจ พวกเขาเองยังเป็นธุระคอยให้ความช่วยเหลือในทางลับด้วยการพาหนีด้วย
แต่น่าเสียดายที่อวิ๋นหนานอยู่ไกลจากเมืองจิงเฉิงมากเกินไป สกุลมู่ของพวกเขาปลีกตัวออกห่างจากความขัดแย้งในราชสำนักนานหลายปีแล้ว อีกอย่าง ฝ่ายของหวังหลิงบัดนี้มีอำนาจมาก ต่อให้พวกเขามีใจจะยื่นมือเข้าแทรกแซงเพียงไรก็ไม่มีอำนาจพอจะกระทำได้
บัดนี้ได้ยินผิงอวี้พูดเช่นนี้ จึงหันไปมองฟู่หลันหยาด้วยสายตาขอลุแก่โทษ แล้วหันไปสั่งการพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ หลายคำ
ผ่านไปสักพักก็มีคนรับใช้เดินนำฟู่หลันหยากับบ่าวไปยังห้องพักด้านในสุดของเรือน
เมื่อผลักประตูห้อง ก็เห็นว่ามีคนมาจุดตะเกียงไว้ให้ก่อนแล้ว นอกจากเตียงกับโต๊ะเก้าอี้ บริเวณใต้หน้าต่างยังมีเก้าอี้ยาววางไว้อีกตัวหนึ่งด้วย
พอเข้าไปในห้อง แม่นมหลินก็รีบประคองฟู่หลันหยาไปนั่งที่เก้าอี้ยาว ให้นางได้พักเท้าข้างที่บาดเจ็บ
เพราะในห้องจุดตะเกียงไว้สว่างแล้ว เพียงแม่นมหลินเหลือบมองก็เห็นว่าเสื้อผ้าฟู่หลันหยาเปรอะเปื้อนคราบฝุ่นดินจนดำอยู่หลายจุด เท้าก็เปลือยเปล่า ไม่มีถุงเท้าเลยสักคู่ น่าเสียดายที่เสื้อผ้าของทั้งคู่ล้วนมอดไหม้ในกองเพลิงไปหมดสิ้น บัดนี้คิดจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสักชุดก็ไม่รู้ว่าจะไปหาได้จากที่ใด
ฟู่หลันหยาเห็นแม่นมหลินดูเป็นทุกข์กังวลก็ถอนหายใจแผ่วเบา กำลังจะพูดปลอบนางสักสองสามประโยค จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู เปิดออกดูก็เห็นคนรับใช้ของวังมู่อ๋อง บอกว่ารับคำสั่งมาจากชายาซื่อจื่อ ให้นำเสื้อผ้ากับถุงเท้ารองเท้ามาให้
แม่นมหลินรับมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเห็นเป็นเสื้อผ้าของสตรีที่ดูเรียบๆ สะอาดสะอ้านวางพับซ้อนกันมาจริงดังว่า แล้วได้ยินคนรับใช้กระซิบบอก “เมื่อครู่ได้ให้พวกใต้เท้าองครักษ์เสื้อแพรตรวจดูแล้ว แม่นมวางใจได้ ชายาซื่อจื่อบอกว่าตอนนี้นางกำลังป่วย ไร้เรี่ยวแรงจะทำอันใด แต่ขอเพียงคุณหนูฟู่อยู่ในวังนี้ นางจะคอยดูแลใส่ใจคุณหนูฟู่อย่างสุดความสามารถ”
ฟู่หลันหยาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย มิน่าเล่า เมื่อเย็นตอนที่เข้ามาในวังมู่อ๋อง คนรับใช้จึงคอยรับใช้พวกนางนายบ่าวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แม้ไม่ได้พูดอะไรมากแต่ก็ตระเตรียมทั้งน้ำร้อนและสำรับอาหารไว้ให้อย่างพร้อมสรรพ
นางจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว แล้วแสดงความขอบคุณผ่านทางคนรับใช้ผู้นั้น
คนผู้นั้นหัวเราะ พอถอยออกไปได้ไม่นานก็นำคนยกน้ำเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหารร้อนๆ อีกหลายอย่าง