บนท่าเรือพลันเงียบสงัดจนน่าอัศจรรย์ ฉินโยวโยวอดไม่ไหวต้องเลิกผ้าดำมุมหนึ่งของหมวกคลุมขึ้นน้อยๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอมองเห็นฉากเหตุการณ์สุดแสนนองเลือด…คนชุดดำสองคนทางซ้ายมือเยี่ยหรูเหนียนถูกดาบฟันขาดกลางลำตัว ร่างท่อนบนกลิ้งตกจากหลังม้า ร่างท่อนล่างยังคงนั่งนิ่งอยู่บนอาน เลือดสดๆ พุ่งทะลัก เศษเนื้อและอวัยวะภายในสาดกระจาย ด้านข้างม้าไม่รู้มีบุรุษชุดสีเขียวครามท่าทางเหมือนวิญญาณผู้หนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร ในมือกุมดาบยาว ประกายดาบดุจหิมะ บนคมดาบมีรอยเลือดเปรอะเป็นดวง
ไม่ต้องหันหน้าไปฉินโยวโยวก็รู้ว่าคนชุดดำอีกสองคนก็ประสบชะตากรรมเดียวกันแล้ว
ใบหน้าดุร้ายของเยี่ยหรูเหนียนซีดขาวบิดเบี้ยว เขาถลึงตาจ้องบุรุษที่กำลังลากฉินโยวโยวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างไม่ละสายตา คล้ายว่าแม้แต่ความกล้าจะลงมือโจมตีก็หายไปเกลี้ยงแล้ว
ฉินโยวโยวเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยหรูเหนียนอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนนางไปแทนที่เขา เกรงว่าจะยิ่งกลัวกว่าเขาไม่ใช่แค่สิบเท่า
สี่คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนมาหลายปี ถึงกับถูกฟันขาดกลางอย่างง่ายดายประหนึ่งหั่นผักโดยที่ยังมองเห็นคู่ต่อสู้ไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ ผู้ที่ลงมือจัดการพวกเขาต้องมีระดับขั้นสูงกว่าพวกเขาอย่างน้อยๆ ก็สามขั้น!
ดูจากเสื้อผ้า ฉินโยวโยวก็จำได้ว่ายอดฝีมือที่ลงมือสังหารคนกลางวันแสกๆ เหล่านี้ก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างผู้มีพระคุณของนางขณะอยู่บนเรือเมื่อครู่นี้
นางพลันรู้สึกว่าฝ่ามือที่จับแขนตนอยู่ข้างนั้นน่ากลัวประหนึ่งสัตว์มีพิษ ผู้มีพระคุณของนางแข็งแกร่งยิ่ง อีกทั้งต้องมีความเป็นมาใหญ่โตแน่นอน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนดีอะไร…
ไม่รู้ว่าใครร้องอุทานนำขึ้นมาก่อน ผู้คนจึงได้สติกลับมาจากคดีสยองขวัญตรงหน้า พากันกรีดร้องและวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ท่าเรือดูสับสนอลหม่านขึ้นมาทันที
ทหารแคว้นตัวลี่ที่ลาดตระเวนอยู่บนแม่น้ำเองก็มีการตอบสนองแล้วเช่นกัน พากันร้องตะโกนลั่น แต่กลับไม่มีสักคนที่กล้าแล่นเรือกลับท่ามาช่วยจับคนร้าย
“กลับไปบอกนายเจ้าว่านางเป็นคนของแคว้นเซียงเยวี่ยของข้า หากไม่พอใจก็ไปที่เมืองจื่อเยี่ยได้เลย” ว่าแล้วเหยียนตี้ก็ลากฉินโยวโยวเดินลอยชายจากไปด้วยท่าทางวางโต กระทั่งพวกเขาเดินไปไกลแล้วเยี่ยหรูเหนียนถึงได้ยกมือปาดเหงื่อด้วยอาการสั่นเทา
ทหารที่ประจำการอยู่บริเวณใกล้ๆ เห็น ‘ดาวพิฆาต’ จากไปแล้วก็รีบวิ่งมาต้อนรับแสดงความภักดี หนึ่งในนั้นเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านเยี่ย พวกเราต้องส่งคนตามไปหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยหรูเหนียนรอดตายมาได้แล้ว เมื่อเห็นหน้าพวกเขาก็ยิ่งหงุดหงิด ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ต้อง ตามไปก็รนหาที่ตาย เว้นแต่ว่าพวกเราจะมียอดฝีมือระดับยอดยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไปอยู่ด้วย…”
“ยอดยุทธ์?!” เสียงสูดหายใจดังขึ้นเป็นระลอก สำหรับพวกเขาที่เป็นคนธรรมดา ยอดยุทธ์แทบจะเป็นความหมายเดียวกับเทพเซียน หากกล่าวว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปคือผู้ต้านร้อย เช่นนั้นยอดยุทธ์ที่แท้จริงก็คือผู้ต้านพัน ว่ากันว่าผู้ที่มีอายุขัยยืนยาวที่สุดสามารถอยู่ได้ถึงสองสามร้อยปี คนเช่นนี้ชั่วชีวิตของพวกเขาใช่ว่าจะมีโอกาสได้สัมผัส
ทหารหนึ่งในนั้นพูดขึ้นตะกุกตะกัก “ท่านเยี่ยท่าน…ท่านหมายความว่าคนหนุ่มเมื่อครู่นี้เป็น…เป็นยอดยุทธ์?!” คนหนุ่มผู้นั้นท่าทางน่ากลัวยิ่ง ทว่าดูไปแล้วอย่างมากก็อายุไม่ถึงสามสิบ อายุเท่านี้ก็เป็นยอดยุทธ์แล้ว? คงไม่ใช่ว่าเยี่ยหรูเหนียนไม่กล้าสู้เลยจงใจพูดถึงความสามารถของคู่ต่อสู้ให้ดูสูงเกินจริงกระมัง
ไม่ใช่แค่เขาที่คิดเช่นนี้ ทหารที่อยู่ด้านข้างไม่น้อยก็มีความคิดในทำนองเดียวกัน
เยี่ยหรูเหนียนมีหรือจะไม่รู้ความคิดของพวกเขา จึงพูดด้วยความเจ็บใจ “หากเขาไม่ใช่ยอดยุทธ์ บิดามีหรือจะทำตัวขี้ขลาดมองเห็นพี่น้องของตนเองถูกฆ่าแล้วยังไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร!”