“ยื่นมือมา” เหยียนตี้พลันเอ่ยขึ้นมา
ฉินโยวโยวยังโมโหอยู่จึงไม่ทำตามเสียเลย เหยียนตี้จึงจับข้อมือบอบบางของนางขึ้นมาตรวจชีพจรตรงๆ
เนื่องจากก่อนหน้านี้ถูกเหยียนตี้ ‘แตะเนื้อต้องตัว’ หลายครั้งแล้ว อีกทั้งทุกครั้งเหยียนตี้ล้วนมีสีหน้าท่าทางที่ดูเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน ฉินโยวโยวจึงค่อยๆ ลืมไปแล้วว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางสมควรร้องเสียงดังๆ ว่า ‘ถูกลวนลาม’ พร้อมกับขืนตัวอย่างเต็มที่ ทว่ายามนี้กลับกลายเป็นว่านางปล่อยให้เขาจับชีพจรจนหนำใจอย่างยอมรับชะตากรรมยิ่งยวด
“กินยานี่เสีย” ยาลูกกลอนที่ไม่รู้ว่าคือยาอะไรถูกส่งมาถึงเบื้องหน้าฉินโยวโยวอีกเม็ดแล้ว
“ท่านมิใช่บอกว่าพิษที่ตกค้างในร่างกายข้าถูกขจัดออกไปหมดแล้วหรอกหรือ” ฉินโยวโยวไม่ยอมรับยาลูกกลอน
เหยียนตี้บอกอย่างไม่ให้ต่อรอง “ชีพจรของเจ้าอ่อนเกินไป”
ชีพจรนางจะอ่อนได้อย่างไร ก่อนกินลูกกลอนสลายพลังก็ยังดีอย่างมาก ต่อให้กินลงไปแล้วก็เพียงทำให้ลมปราณกระจัดกระจาย ทว่าชีพจรยังคงดีอยู่ ฉับพลันภาพเหตุการณ์ตอนที่นางถูกเหยียนตี้บังคับกินยาเมื่อคราวก่อนก็ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น ฉินโยวโยวจึงเบะปากรับยาลูกกลอนมากลืนลงไปอย่างจนใจ
ฉินโยวโยวสงสัยอย่างยิ่งว่ายาที่เหยียนตี้ให้นางกินจะเป็นยาสลบ เหตุเพราะนางเพิ่งจะกินลงไปได้เพียงครู่เดียว นางก็ต้องเริ่มต่อสู้กับหนังตาอีกแล้ว ทว่าเพียงไม่กี่อึดใจก็ล้มลงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
เหยียนตี้ยื่นมือมาประคองฉินโยวโยวพิงผนังรถ มือหนึ่งจับจุดชีพจรตรงข้อมือนาง ก่อนจะโคจรลมปราณของตนเองไปตามเส้นชีพจรนางอยู่หลายรอบ จากนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ชีพจรนางอ่อนเกินไปในสายตาเขาจริงๆ เขาจำต้องทำให้ชีพจรนางแรงขึ้น อย่างน้อยๆ ต้องถึงระดับยอดยุทธ์ขั้นเก้าภายในสามเดือน มิเช่นนั้นเกรงว่าแผนการของเขาคงยากจะเป็นจริง
แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านหน้าต่างมาส่องลงบนร่างฉินโยวโยว นางคล้ายกับเป็นตุ๊กตาหยกที่งดงามประณีตดูวิจิตรบรรจง เป็นความงามอันบริสุทธิ์สูงส่งที่ดูไร้ขีดจำกัด กลิ่นอายหอมหวานอันมีเฉพาะในหญิงสาวแผ่อบอวลภายในห้องของรถม้าอย่างเงียบเชียบ เหยียนตี้พลันจิตใจหวั่นไหว เขาก้มตัวลงประทับจุมพิตลงบนพวงแก้มนางเบาๆ อย่างยากจะหักห้ามใจ
ผิวหนังใต้ริมฝีปากอบอุ่นนุ่มเนียนและเกลี้ยงเกลา ระคนด้วยกลิ่นหอมจรุงน่าหลงใหล เหยียนตี้รู้สึกได้ชัดเจนเป็นครั้งแรกว่าอะไรเรียกว่า ‘เนื้อนวลอวลสุคนธ์’ จู่ๆ ในห้วงความคิดของเขาก็มีภาพริมฝีปากสีชมพูอ่อนของฉินโยวโยววาบผ่านไป เหมือนมันจะอ่อนนุ่มยวนใจยิ่งกว่า ขณะกำลังคิดจะลิ้มลองก็มีเสียงงึมงำออดอ้อนดังมาจากจุดที่ห่างจากหูเขาไปไม่ถึงสองฉื่อ “โยวโยว ข้าหิว…”
ความคิดเหลวไหลเต็มสมองถูกเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณเตือนนี้ทำลายลง เหยียนตี้ก้มหน้ามองไปทางต้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ เสี่ยวฮุยกำลังบิดตัวอ้วนๆ มันขยี้ตาพลางขยับซุกไซ้ในอ้อมแขนฉินโยวโยว
ผ่านไปชั่วครู่ เสี่ยวฮุยเห็นเจ้านายไร้การตอบสนองก็สะบัดหัวก่อนลุกขึ้นนั่ง มันคุ้ยค้นกระเป๋าหน้าท้องที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดของตนเองครู่หนึ่ง คลำหาของว่างที่บรรจุอยู่ในห่อกระดาษไขออกมากินกร้วมๆ
มันกินไปได้สองคำ พอมองเห็นเหยียนตี้กำลังจ้องมันด้วยสีหน้าเฉยชาก็ตัวสั่น ขยับเข้าหาตัวฉินโยวโยวในทันที ทว่าเพียงไม่นานก็พบว่าเจ้านายกำลังหลับสนิทอยู่ ไม่มีปัญญามาปกป้องมันแม้แต่น้อย
เหยียนตี้นึกว่ามันจะถูกทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่านอกจากเสี่ยวฮุยจะไม่กลัวแล้ว ยังแหงนหน้าถลึงตาจ้องตอบเขากลับมาด้วย
“เจ้าหมายตาโยวโยวใช่หรือไม่!” ในเสียงของเสี่ยวฮุยแฝงด้วยแววซักถามซึ่งเปี่ยมด้วยความดุดัน ดูยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้วอย่างไร” เหยียนตี้คาดไม่ถึงอยู่บ้าง ที่แท้กระต่ายทึ่มตัวนี้ก็เหมือนกับเจ้านายของมัน ปกติแสร้งทำตัวน่าสงสาร แต่ความจริงขวัญกล้ายากจะปราบพยศยิ่ง
กระทั่งจู้อวิ๋นเฟยม้ากิเลนโลหิตชาดที่ห้าวหาญดุร้ายฉุนเฉียวง่ายจนขึ้นชื่อตัวนั้นของเขา รวมถึงแม่ทัพนายกองในแคว้นเซียงเยวี่ยจำนวนมากที่สังหารผู้คนเป็นผักปลาก็ยังไม่กล้ากำเริบเสิบสานภายใต้สายตาของเขาเช่นนี้
“เจ้าถอดใจเสียเถอะ! เจ้าคงไม่มีโอกาสหรอก” เสี่ยวฮุยที่ตัวเล็กแต่ความกล้าไม่เล็กตามขนาดตัวแค่นเสียงพูด