เหยียนตี้เผชิญหน้ากับงูเหลือมยักษ์ที่พุ่งมาหาด้วยท่าทางรุนแรง กลิ่นอายบนตัวเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายเหลือประมาณ ทั้งตัวคนแผ่ไอสังหารกระหายเลือดอย่างเข้มข้นออกมา เขาแค่นเสียงเย็นก่อนทะยานร่างขึ้นฟ้าจากอานม้า ยื่นสองแขนออกไปคว้าขากรรไกรทั้งบนล่างของงูเหลือมยักษ์ไว้แล้วออกแรงฉีกด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
แควก! เสียงอันน่าสยดสยองจากการที่เนื้อหนังถูกฉีกกระชากพลันดังขึ้น เสียงคำรามของงูเหลือมยักษ์กลายเป็นเสียงโหยหวนสั้นๆ ในชั่วพริบตา ฝนเลือดโปรยว่อนเต็มท้องฟ้า งูเหลือมยักษ์ที่ก่อนหน้ายังดุร้ายเกรี้ยวกราดถึงกับถูกฉีกแหวกเป็นสองซีกทั้งเป็น บาดแผลใหญ่ยักษ์เกินหนึ่งจั้งลากยาวตั้งแต่ปากจนถึงลำตัว! งูเหลือมยักษ์ยังไม่หมดลมในทันที มันนอนชักกระตุกอยู่ตรงเท้าเหยียนตี้
เหยียนตี้มีเลือดอาบเต็มร่าง เขาราวกับเป็นเทพสังหารที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ใช้มือเปล่าเสียบเข้ากลางหัวงู ควักลูกกลอนปีศาจที่โชกเลือดและเรืองแสงสีเขียวครามอ่อนๆ ออกมาโยนทิ้งไปด้านหลังตรงๆ
จู้อวิ๋นเฟยได้สติกลับมาก็โห่ร้องดีใจ มันวิ่งมางับลูกกลอนปีศาจแล้วกลืนลงไปในคำเดียว
ต้าจุ่ยหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เอียงล้มอยู่ในบริเวณใกล้ๆ มันมองเห็นฉากสังหารนองเลือดเช่นนี้แล้วก็อดจะตัวสั่นสะท้านไม่ได้
“ไอสังหารรุนแรงยิ่งนัก…แต่แปลก เหมือนเขากำลังกดตบะของตนเองไว้?” ในดวงตาต้าจุ่ยมีแววประหลาดวาบผ่าน ขณะที่ฉินโยวโยวบอกเล่าเรื่องการสังหารคนโดยไม่กะพริบตาของเหยียนตี้ มันยังไม่รู้สึกอะไรเท่าตอนที่ได้เห็นกับตามันเองในตอนนี้ เหยียนตี้ในเวลานี้ไม่เหมือนมนุษย์โดยสิ้นเชิง เป็นเทพสังหารที่เกิดจากปีศาจร้ายนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแปลงกายมาชัดๆ
ทว่าสภาพของเขาดูเหมือนจะผิดปกติอยู่สักหน่อย ต้าจุ่ยเอียงหัวมองเหยียนตี้ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ชั่วครู่ คล้ายว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง
ผ่านไปราวสิบกว่าอึดใจ เหยียนตี้ก็พลันสะบัดตัว เศษเนื้อและรอยเลือดบนร่างสลายกลายเป็นหมอกเลือดก้อนหนึ่งพุ่งออกจากตัวเขาไป ชุดแพรสีน้ำเงินเปลี่ยนเป็นสะอาดเอี่ยม คราบเลือดบนฝ่ามือก็หายไปสิ้น ทั้งตัวคนสะอาดปลอดโปร่งจนคล้ายว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน
เหยียนตี้มองมายังต้าจุ่ยที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้อยู่บนยอดไม้อย่างเย็นเยียบ ก่อนเรียกจู้อวิ๋นเฟยเตรียมตัวจากไป ต้าจุ่ยพลันได้สติร้องเรียกว่า “ประเดี๋ยวก่อน!”
“เจ้ายังอยากจะรอให้สัตว์อสูรมาอีกกี่ตัว” เหยียนตี้พูดเสียงยะเยือก ดูจากสภาพของที่นี่ เกรงว่าบริเวณนี้ต้องไม่ได้มีแค่สัตว์อสูรอย่างงูปีกมรกตตัวเดียวแน่ แม้ว่าด้วยกำลังความสามารถของเขา ต่อให้มาอีกเป็นสิบเป็นร้อยตัวก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคาม แต่ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องสิ้นเปลืองเวลาและเรี่ยวแรงเพื่อนกโง่ขี้ตะกละเช่นนี้โดยไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสภาพเขาในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะลงมือให้ถึงเลือดถึงเนื้อบ่อยๆ
ต้าจุ่ยกระพือปีกบินมาลงบนหัวงูเหลือมยักษ์ มันใช้ปากยื่นเข้าไปในรูใหญ่ที่ถูกเหยียนตี้คว้านเปิดแล้วออกแรงดูดอยู่ไม่กี่ที จากนั้นก็บินกลับไปเกาะบนหลังจู้อวิ๋นเฟยอย่างพออกพอใจ หัวเราะแว้กๆ สองสามทีอย่างย่ามใจ “เอาล่ะ ไปกันเถอะๆ! สมองงูเป็นของดี ทิ้งไปเฉยๆ ก็น่าเสียดาย”
จู้อวิ๋นเฟยสะบัดหางอย่างไม่ชอบใจ ก่อนพูดด้วยความโมโห “หญ้าสีทองต้นนั้นถูกเจ้ากินไปแล้ว?”
“ใช่แล้ว ข้ากำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี แต่เจ้ารีบร้อนแล่นกลับไปแจ้งข่าวเสียก่อน แค่สมุนไพรวิเศษขั้นห้ากระจอกๆ อย่าง ‘หญ้าไหมทอง’ มิใช่ของหายากอะไรหรอก หากเจ้าชอบ ในหุบเขานี้ยังมี ‘ตะไคร่ปรภพ’ ขั้นห้าอีกต้นหนึ่งด้วย ข้าพาเจ้าไปหาก็ได้” ต้าจุ่ยสะบัดขนสีดำขลับบนตัวอย่างไม่ใส่ใจ แม้แต่คำขออภัยสักนิดก็ไม่มี
“ฮึ!” จู้อวิ๋นเฟยยังคงไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่ามันก็มิใช่ม้าใจแคบ วันนี้ได้ลูกกลอนปีศาจจากสัตว์อสูรขั้นห้ามาเม็ดหนึ่งโดยไม่คาดคิด มันก็อารมณ์ไม่เลวแล้ว เพียงไม่นานก็วางเรื่องเล็กน้อยนี้ลง
ต้าจุ่ยกลอกลูกตาเล็กน้อย ก่อนบินไปเกาะบนหัวจู้อวิ๋นเฟย แล้วเงยหน้าพูดกับเหยียนตี้ “วิชาที่เจ้าฝึกเกี่ยวข้องกับไอสังหารใช่หรือไม่”