เหยียนตี้พลันใจเต้นสะดุด ในที่สุดก็มองนกสีดำตัวใหญ่ที่ดูแล้วนอกจากพูดมากและเป็นจอมตะกละก็ไม่มีอะไรโดดเด่นตัวนี้ตรงๆ “เจ้ามองออกได้อย่างไร” เรื่องนี้แม้แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทที่ติดตามเขาออกรบมาหลายปีก็ยังไม่เคยค้นพบ ทว่านกสีดำตัวใหญ่นี้เพิ่งแค่เคยเห็นเขาสำแดงฝีมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็ค้นพบความลับเขาแล้ว
ต้าจุ่ยรู้ว่าตนเองเดาถูกต้องก็ส่ายหน้าถอนหายใจยาวพลางกล่าวด้วยความหงอยเหงาปนกลัดกลุ้ม “สายตาอันแหลมคมของผู้ทรงปัญญามิใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจได้”
มือที่จับสายบังเหียนของเหยียนตี้พลันคันยิบๆ อยากจะฟาดเจ้านกดำที่เสแสร้งแกล้งทำตัวนี้ให้แบนเสียเลย
ฉินโยวโยวรออยู่ครู่ใหญ่อย่างลุกนั่งไม่ติดที่ ในที่สุดนางก็เห็นเหยียนตี้พาต้าจุ่ยกลับมาอย่างปลอดภัย นางดีอกดีใจยิ่ง ลืมหวาดกลัวจู้อวิ๋นเฟยไปชั่วคราว วิ่งปราดไม่กี่ก้าวก็กอดต้าจุ่ยเอาไว้แน่น ก่อนบ่นว่า “เจ้าทำให้ข้ากับเสี่ยวฮุยเป็นห่วงแทบตาย!”
ต้าจุ่ยพูดยิ้มๆ “แม้สวรรค์จะริษยาอัจฉริยะเช่นข้า แต่สัตว์อสูรเล็กๆ แค่ตัวสองตัวทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เหยียนตี้ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ด้านข้างเริ่มจะไม่พอใจ เขาลงจากม้าแล้วตบคอจู้อวิ๋นเฟยบอกให้มันไปหาสถานที่พักผ่อนและกินอาหารอย่างเย็นชา
เหลียงลิ่งที่รุดมาแอบส่งสายตาเตือนฉินโยวโยว นางถึงได้สติ ก้าวมายิ้มหวานให้เหยียนตี้ก่อนเอ่ยเอาใจ “ขอบคุณท่านมาก โชคดีที่มีท่านอยู่”
“อืม” เหยียนตี้พยักหน้าเรียบๆ เขาพลันรู้สึกแจ่มใสขึ้นในบัดดล
ฉินโยวโยวไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง แต่เหลียงลิ่งกลับระบายลมหายใจยาวเหยียด เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนายท่านลงแรงทำอะไรเพื่อคนอื่นถึงเพียงนี้ และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เห็นว่ามีใครสักคนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนายท่านได้มากเพียงนี้
ยามปกติต่อให้เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้สั่งด้วยตนเองก็ไม่เห็นอารมณ์นายท่านจะเป็นทุกข์เป็นร้อน หากเรื่องในวันนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น แค่นายท่านสั่งให้องครักษ์คนสองคนไปดูก็ไม่เลวแล้ว ไม่มีทางจะมาออกหน้าจัดการเองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นนี้เป็นอันขาด
คนทั้งคณะสงบลง เมื่อกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ต้าจุ่ยกับเสี่ยวฮุยกินจนอิ่มหนำแล้วก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างกายฉินโยวโยว ฝ่ายฉินโยวโยวที่หลับมาตลอดทั้งเช้าจนตาสว่างพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงค้นกระดาษกับพู่กันออกมาขีดเขียนกับโต๊ะตัวเล็กที่อยู่บนรถม้า
“นี่เจ้ากำลังทำอะไร” แม้เหยียนตี้จะกำลังหลับตานอนงีบพัก แต่เขาก็รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของฉินโยวโยว เขาสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างว่าเป็นเรื่องอะไรกันที่ทำให้นางเบิกบานใจได้ถึงเพียงนี้
“ข้ากำลังเขียนจดหมายให้เฟิงกุยอวิ๋น พอดีข้าไปขู่เขาว่าเขาถูกพิษร้ายแรง รับปากว่าจะให้ตำรับยาแก้กับเขา อย่างไรก็ต้องส่งจดหมายให้เขาสบายใจสักฉบับหนึ่ง” ฉินโยวโยวยิ้มเจ้าเล่ห์ สีหน้านางระรื่นใจนัก
ในใจเหยียนตี้พลันรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เขียนจดหมายให้บุรุษผู้นั้นมีอะไรควรค่าให้นางเบิกบานใจเพียงนี้กัน อีกทั้งบุรุษผู้นั้นอาศัยอะไรมาทำให้นางต้องระลึกถึงซ้ำยังเขียนจดหมายไปให้กับมือตนเองเช่นนี้
ฉินโยวโยวก้มหน้าตวัดวาดเส้นสุดท้ายบนกระดาษเสร็จเรียบร้อยก็ใช้สองมือจับสองมุมกระดาษจดหมายขึ้นมาให้เหยียนตี้ดู
สิ่งที่นางวาดคือหัวหมูอันใหญ่หัวหนึ่ง ท่าทางดูโง่เซ่อน่าตลกขบขัน พัดเล่มหนึ่งปิดหน้าหมูไว้ครึ่งๆ มีอักษรคำว่า ‘โง่’ เขียนเอาไว้ ที่ด้านข้างมีข้อความประกอบอีกหกคำ… ‘พิษไม่ถึงตาย โง่เง่า!’
สาวน้อยนางนี้ปากคอเราะรายเสียจริง เหยียนตี้นึกขันในใจ ทว่าภายนอกยังคงแข็งกระด้าง สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
ฉินโยวโยวไม่ได้รับการชื่นชมหรือให้กำลังใจอย่างที่สมควรก็เบะปากแอบค่อนแคะในใจว่า…หุ่นไม้! ก่อนพับจดหมายเก็บอย่างเจ็บใจ แล้วปูกระดาษขาวแผ่นใหม่ลงมือวาดต่อ
เหยียนตี้กวาดตามองปราดหนึ่ง พบว่านางคล้ายกำลังวาดลูกศรดอกเล็กที่มีกลไกบางอย่างรวมถึงอาวุธลับชิ้นเล็กจำพวกใบมีด นางลงพู่กันได้อย่างว่องไวยิ่ง สิ่งที่วาดออกมายิ่งกำกับตัวเลขความยาวไว้ตรงจุดสำคัญแต่ละแห่งประหนึ่งว่าใช้วงเวียนใช้ไม้บรรทัดวัดมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะขอให้คนทำของเหล่านี้มาเสริมบนอาวุธลับในตัวนาง