คฤหาสน์หลังนี้เพิ่งซ่อมแซมใหม่ได้ไม่นาน ดังนั้นในสวนดอกไม้ด้านหลังจึงยังมีทรายกองอยู่จำนวนหนึ่ง เดิมทีจะขนออกไป แต่หลังจากหลี่รั่วอวี๋มาก็เล่นทรายเหล่านั้นจนติด ดังนั้นหลี่รั่วฮุ่ยจึงให้คนงานกองทรายไว้ที่นั่น อย่างไรเสียทรายนุ่มๆ ก็ดีกว่าไปข้ามกำแพงหรือปีนต้นไม้
และตอนนี้สาวน้อยผู้นี้กำลังเปลือยเท้าคู่งามอยู่ใต้แสงแดด แกว่งรองเท้าไม้เบาๆ นั่งหมดสภาพอยู่กลางผืนทรายนุ่มๆ
เจียงหนานมีฝนมาก หญิงสาวท้องถิ่นไม่เหมือนหญิงสาวแถบจงหยวนที่จะหุ้มเท้าแน่นจนเลือดลมไม่ไหลเวียน สะพานหินบนเรือมักจะมีหญิงสาวสวมถุงเท้าผ้ารองเท้าไม้ เดินส่งเสียงต๊อกแต๊กท่ามกลางสายฝนพรำ ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ หากทันฤดูฝนตกหนัก หญิงสาวทำงานหนักบางคนจะไม่สวมถุงเท้าผ้า สวมแต่รองเท้าไม้ แต่ด้วยเหตุนี้ ขาจะถูกแดดเผาจนดำกร้าน ไม่นุ่มนิ่มน่ามอง
น้องชายที่ชื่นชมความงามมาจนชินพูดอย่างไม่เสียดายว่า ‘ปลากับอุ้งตีนหมีไม่อาจครอบครองได้พร้อมกัน ธรรมเนียมการสวมเกือกไม้แม้จะดี แต่ทำร้ายเท้ามากที่สุด เท้างามของคนงามถูกเสียดสีจนด้านเสียรสชาติในการชื่นชมไปหมด’
แต่ในใจฉู่จิ้งเฟิงกลับสบถเยาะหยันคำพูดนี้ เพราะเท้างามที่สุดที่เขาเคยเห็นมาก็สวมอยู่ในรองเท้าไม้
เขาย่อตัวลง กุมข้อเท้าที่เล่นทรายของสาวน้อยไว้เบาๆ
จำได้ว่าตอนที่ได้พบนางครั้งแรก คนงามในชุดชายหนุ่มสวมชุดยาวสีดำนั่งอยู่ที่หัวเรือ ผมดำขลับสยายไปตามสายลม เท้าน้อยสวมรองเท้าไม้คู่หนึ่งเคาะพื้นเรือเป็นจังหวะ ปลายเท้าคู่นั้นยกขึ้นเล็กน้อย นิ้วเท้างดงามเปลือยอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ยกไหสุราเล็กๆ ไหหนึ่งขึ้นดื่มกับคนงานบนเรือที่เพิ่งเสี่ยงอันตรายกลับมาอย่างสนุกสนาน
ทั้งที่เป็นหญิงอ่อนแอ ดูไม่เรียบร้อยแต่ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ท่าทีองอาจงามสง่าแบบนั้นราวกับบัณฑิตเลื่องชื่อตรงไปตรงมาไม่ธรรมดา ทำให้เขาเลื่อนสายตาหนีไม่ได้…
และตอนนี้สาวน้อยที่เคยมีดวงตาสดใส ผิวสีแทนรวมถึงความฉลาดกล้าแกร่งผู้นั้นได้จางหายไป กลายเป็นเหมือนขนมข้าวเหนียวขาวนุ่มก้อนหนึ่ง ที่ปล่อยให้ผู้อื่นเด็ดดมโดยไม่มีการป้องกันเลย…
สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือดวงตาโตคู่นั้น ดวงตาโตคู่นั้นที่ไม่เคยมีเงาของเขาอยู่ในนั้นเลย!
คำพูดเมื่อครู่ของคุณหนูใหญ่หลี่ ‘ด้วยนิสัยน้องข้าตอนที่ยังเป็นปกติ คงไม่เหมาะจะแต่งเข้าสกุลสูงศักดิ์’ บีบหัวใจของฉู่จิ้งเฟิงจนเจ็บเหลือเกิน
เขาฟังออกถึงคำพูดที่คุณหนูใหญ่หลี่ยังพูดไม่จบ… น้องรองของนางที่มีอิสระจนชินหากไม่สมองเสื่อม ไม่มีทางเห็นพวกอ๋องโหวอย่างเขาอยู่ในสายตาเด็ดขาด…
พอคิดเช่นนี้ มือของเขาที่กุมข้อเท้าของนางก็ออกแรงบีบ ทำให้สาวน้อยพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “เจ็บ…”
ฉู่จิ้งเฟิงสงบสติแล้วคลายมือออก สายตามองไปที่กองทรายข้างกายแล้วถามว่า “รั่วอวี๋ทำอะไรอยู่หรือ”
หลี่รั่วอวี๋ก้มหน้าลงไม่มองเขา มือตบๆ กองทรายที่เบื้องหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงคิดว่านางจะไม่ตอบคำถามแล้วนางจึงพูดอย่างอึดอัดว่า “สร้างบ้าน…ให้ท่านแม่อยู่”
ท่านแม่บอกว่าหากนางแต่งงานแล้ว นางก็จะอยู่กับท่านแม่ไม่ได้ สาเหตุคงเพราะห้องไม่พอ หากสร้างบ้าน ท่านแม่ก็ไม่จากไปแล้วใช่หรือไม่
ฉู่จิ้งเฟิงไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ นางจึงอยากสร้างบ้าน มองการกระทำที่ดูงุ่มง่ามของนาง หัวใจส่วนที่แข็งกร้าวก็อ่อนลงบ้าง “สร้างบ้านจะยากอะไร ถ้ารั่วอวี๋ชอบ สร้างเมืองให้เจ้าสักเมืองก็ยังได้”
ขณะที่พูด เขาก็เลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนกำยำ นั่งลงแล้วเริ่มขุดทรายก่อกำแพง
หลี่รั่วอวี๋เบิกตากลมโตมองดูมือใหญ่ของชายหนุ่มพลิกไปมาไม่หยุด ไม่นาน ปราสาททรายขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ เป็นรูปร่าง
หลี่รั่วฮุ่ยแม้จะออกไปตรวจของที่โถงด้านหน้า แต่ในใจยังคงไม่วางใจในตัวน้องสาว ทว่าตอนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของเขา หากเขาไม่รักษามารยาท สกุลหลี่จะทำอะไรได้เล่า
การแต่งงานที่ต้องปีนอำนาจวาสนา ล้วนต้องรับความเสี่ยงอย่างมาก ก่อนหน้านี้สกุลหลี่กับสกุลเสิ่นเป็นดองกัน ยังพอนับได้ว่าเหมาะสม อย่างไรเสียสกุลเสิ่นแม้จะมีชื่อเสียงแต่ครอบครัวนั้นก็ต้องการเงินของสกุลหลี่มาคอยเกื้อหนุน
ทว่าสกุลฉู่เป็นถึงครอบครัวอ๋องโหวอันดับหนึ่ง มองดูข้าวของสินสอดตรงหน้า เฉพาะเรื่องเงินก็มีมากกว่าสกุลหลี่ที่เป็นพ่อค้ามาหลายรุ่น ชายหนุ่มที่มีเงินและมีอำนาจ ทำอะไรก็ได้ตามใจ ทั้งสองสกุลแตกต่างกันมาก ตอนน้องสาวเสียเปรียบ ทางบ้านก็ไม่อาจพูดจาสนับสนุนได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้น้องสาวมีสภาพเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
เทียบจำนวนอย่างใจลอยไปรอบหนึ่ง แล้วจึงสั่งให้บ่าวไพร่เอาของจำนวนหนึ่งไปวางไว้ที่โถงด้านหน้าและในห้องของหลี่รั่วอวี๋ นางจึงได้เดินเข้าไปในสวนดอกไม้เล็กอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ยังไม่ทันเลี้ยวเข้าลานบ้าน นางก็ได้ยินน้องสาวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หลี่รั่วฮุ่ยจึงมองลอดหน้าต่างฉลุบนกำแพง ก็เห็นฉู่จิ้งเฟิงกำลังเล่นทรายอยู่กับหลี่รั่วอวี๋!