ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทนำ-บทที่ 1
บทที่ 1
ครึ่งปีให้หลัง ช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของเหมันตฤดู
เมืองหลวงของแคว้นเทียนเฉามีหิมะตกปรอยๆ ติดต่อกันหลายวัน แม้จะไม่ได้ตกหนักมากนัก แต่ปริมาณหิมะในหลายวันมานี้รวมแล้วก็มากจนน่าตกใจ หลายพันหมื่นหลังคาเรือนล้วนมีหิมะหนาเตอะ แม้แต่ต้นสนเขียวขจีในสวนของคฤหาสน์คหบดียังต้องครอบตาข่ายไว้ เป็นการดูแลรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้หิมะกดทับกิ่งก้านเสียหาย
แต่ต้นสนเก่าแก่สองต้นที่ขึ้นอยู่ข้างนอกตรอกผินหมินของเฉิงเป่ยไม่ได้รับการดูแล
ลำต้นที่หยาบหนาและใบเรียวแหลมงอกงามขึ้นโดยไม่มีผู้ใดตัดแต่ง อาจเป็นเพราะว่าตรอกผินหมินนี้เป็นทำเลที่ดี ต้นสนแก่ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติจึงดูไม่เหมือนต้นสนเก่าแก่ และไม่ได้ตระหง่านอย่างที่นักกวีมักจะบรรยายในโคลงกลอน เพียงหยัดยืนลำต้นตามมีตามเกิดอยู่ตรงนั้น กิ่งก้านที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบนักแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเกียจคร้านและความเฉื่อยชา
ต้นสนเก่าแก่ที่ดูไร้ชีวิตชีวาสองต้นนี้เป็นเหมือนทวารบาลซึ่งยืนต้นอยู่สองข้างทางซ้ายขวาของเพิงร้านขนมแป้งย่าง
ร้านแป้งย่างเฉียวจี้เปิดกิจการที่เฉิงเป่ยมาได้สี่สิบกว่าปีแล้ว เจ้าของร้านขายแป้งย่างอยู่ทางเหนือมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นหนุ่มน้อยวัยยี่สิบ ขายไปขายมาก็กลายเป็นท่านอาเฉียว ขายต่อไปก็เป็นท่านลุงเฉียว จนถึงทุกวันนี้ผู้คนต่างเรียกกันติดปากว่าตาเฒ่าเฉียว
หลายวันก่อนโรคจากพิษเย็นสั่งสมที่ขาของตาเฒ่าเฉียวกำเริบ เขาปวดเข่าสองข้างจนลุกเดินไม่ไหว บุตรชายคนเดียวก็ไปค้าขายอยู่ที่อื่น ไม่ได้คิดจะรับช่วงต่อกิจการทางนี้ เห็นทีร้านแป้งย่างนี้คงจะต้องปิดกิจการเสียแล้ว แต่ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนร้านจะเปิดใหม่อีกครั้ง
ในพื้นที่ร้าน ทางต้นสนฝั่งขวายังคงเปิดกิจการขายแป้งย่างดังเดิมโดยมีคู่แม่สามีลูกสะใภ้ของสกุลเฉียวเป็นคนดูแล โดยมีตาเฒ่าที่ถือไม้เท้าในมือคอยช่วยคุมงานให้ ส่วนทางต้นสนฝั่งซ้ายมีร้านขายโจ๊กเพิ่มขึ้นมา
ผู้ที่อาศัยพื้นที่ร้านแป้งย่างเฉียวจี้ขายโจ๊กเป็นสตรีสองนาง คนที่โตกว่าก็ไม่ได้โตกว่ามากนัก มีใบหน้างามหมดจด คิ้วและดวงตาอ่อนหวานอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี ส่วนน้องสาวร่างเล็กที่อยู่ด้วยกันนั้นอ่อนวัยกว่า ได้ยินว่าเพิ่งจะอายุสิบสามปี แต่รูปร่างนั้นกลับผอมบางเกินไป อีกทั้งใบหน้าที่ดูอ่อนวัยมาก มองอย่างไรก็เหมือนเด็กอายุสิบขวบ
ลักษณะของเด็กหญิงผู้นั้นถอดแบบอย่างหญิงงามโดยแท้ เครื่องหน้าทั้งห้างามหมดจดยิ่งกว่าพี่สาวมากนัก แต่ทว่าน่าเสียดาย กลับเป็นเด็กที่เกิดมาสติไม่สมประกอบ เวลาปกติทั่วไปจะนิ่งเงียบงันไม่กล่าววาจาใด แต่พอโกรธและหัวรั้นขึ้นมาก็จะกล่าววาจาเดิมซ้ำซากไม่หยุดหย่อน
ภายนอกร้านหิมะยังคงตกปรอยๆ รุ่งอรุณที่ท้องฟ้าสว่างเจิดจ้าก็ยังเหน็บหนาวเป็นพิเศษ หนาวจนบรรดาคนผ่านทางที่ตื่นแต่เช้าปลายเท้าจับน้ำแข็ง นิ้วมือก็เหน็บชา แต่พอพบเห็นควันเป็นก้อนๆ ลอยออกมาจากร้านแป้งย่างเฉียวจี้ ทั้งยังได้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหาร แม้ปากท้องจะบอกว่าไม่หิวแต่ก็ยังอยากอาหารขึ้นมา ทั้งในและนอกร้านมีโต๊ะทั้งหมดสิบตัว และทุกที่นั่งล้วนมีผู้คนจับจองจนเต็ม
“ตาเฒ่าเฉียว ฝีมือนวดแป้งกับย่างแป้งของเจ้า พวกข้าว่าสะใภ้ใหญ่ก็หัดได้ดีอยู่ ทางนี้ยังมีท่านยายเฉียวคอยดู เจ้าก็วางงานบ้าง มานั่งให้ขาได้พักดีกว่า” ลูกค้าเฒ่านั่งลงที่ด้านข้างของเพิง และอาศัยไอร้อนเพื่ออบอุ่นร่างกาย เขากัดแป้งย่างร้อนๆ คำโตไปพลาง ชวนเจ้าของร้านคุยไปพลาง
ป้าเฉียวที่ได้รับคำชมจากลูกค้าเฒ่าเงยหน้าขึ้นมายิ้ม สองมือยืดแป้งย่างในถาดร้อนไม่หยุด
ลูกค้าประจำคนหนึ่งก็เอ่ยว่า “แป้งย่างของร้านเฉียวจี้อร่อยดี ยิ่งเคี้ยวยิ่งหอม หากกินแต่แป้งย่างอย่างเดียวคอจะแห้งเอา ตอนนี้มีขายโจ๊กแล้ว แป้งย่างแผ่นหนึ่งโจ๊กชามหนึ่งกำลังดี ทั้งราคาถูกและอิ่มท้อง”
“นี่ไม่ใช่โจ๊กธรรมดา มันเรียกว่า ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ ชื่อนี้มีที่มาด้วย” ท่านยายเฉียวเลื่อนเก้าอี้ให้สามีเฒ่าของตัวเองนั่ง แล้วหันกลับไปนวดแป้งต่อ ใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยร่องรอยของวันเวลาเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา “โจ๊กนี้ดูเหมือนจืดชืดไม่ปรุงแต่ง ทว่ากินแล้วกลับอ่อนนุ่มละมุนลิ้น วัตถุดิบกับขั้นตอนการทำก็พิถีพิถันมาก ทั้งยังสามารถ…สามารถ…หือ? หุยเสวี่ย สามารถอะไรนะ” ดวงตาฝ้าฟางเล็กๆ เพ่งมองไปยังแม่นางที่ยืนถือทัพพีคนหม้อเหล็กทางฝั่งร้านขายโจ๊ก
ดวงหน้างามของเจียงหุยเสวี่ยเผยรอยลักยิ้ม นางตอบคำท่านยายเฉียวและลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มองมา
“สามารถเพิ่มความอยากอาหาร ดีต่อปอดและตับ แล้วก็ทำให้ลำไส้ชุ่มชื้นเจ้าค่ะ”
ท่านยายเฉียวผงกศีรษะ “ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ ก่อนหน้าจะเปิดขายโจ๊ก พวกข้าทั้งบ้านไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างลองมาแล้ว ทั้งยังกิน ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ หนึ่งชามทุกเช้ามาตลอดครึ่งเดือน ได้ผลดีมาก โดยเฉพาะปั้งโถวของบ้านข้า อายุได้แปดขวบแล้ว กินข้าวชามเดียวใช้เวลาเป็นครึ่งชั่วยาม* กินได้น้อยจนน่าสงสาร แต่ว่าตั้งแต่ได้กิน ‘โจ๊กขาวห้าสหาย’ กระเพาะลำไส้ก็แข็งแรงขึ้น ผ่านไปไม่กี่วันก็รู้สึกดีจนลิงโลดได้”
ลูกค้าเฒ่าร้อง “เฮอะ” คำหนึ่ง ทันใดนั้นก็ตบเข่า แล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า
“มิน่าเล่า คนในรุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกข้าส่วนมากต้องอาศัยการค้าขายหาเลี้ยงชีพ ต้องกินให้อิ่มท้องถึงจะทำงานได้ แล้วยังต้องรักษาเวลา ยิ่งทำได้ไว ทำได้มากเท่าใด ก็ยิ่งหาเลี้ยงลูกหลานได้มากเท่านั้น เวลางานยุ่งขึ้นมาจริงๆ แม้แต่เวลากินข้าวก็ยังไม่อยากจะเสีย สวาปามได้ไม่กี่คำก็ต้องรีบจัดการกินแป้งย่างชิ้นใหญ่ให้หมด ทำเอากระเพาะกับลำไส้ย่ำแย่ ที่น่าปวดหัวก็คือ…ขนาดจะขับถ่ายยังต้องเบ่งแล้วเบ่งอีก แทบร้องเรียกท่านปู่ท่านย่า แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อวานนี้พวกข้าดันถ่ายได้ถ่ายดี วันนี้มาได้ยินท่านยายพูด นับว่าได้พบสาเหตุแล้ว หลานชายท่านกินโจ๊กจนอยากอาหาร ส่วนพวกข้าก็กินโจ๊กจนท้องไส้ไหลลื่น”
วาจาของลูกค้าเฒ่าผู้นี้ทำให้ผู้คนต่างหัวเราะ แม้แต่แม่นางที่กำลังตั้งใจต้มโจ๊กก็ยังหยักมุมปากขึ้น
ทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวจนกลายเป็นตรอกขนาดยาวในเฉิงเป่ยแห่งนี้คือที่ที่ชาวบ้านในเมืองหลวงเรียกจนติดปากว่า ‘ตรอกผินหมิน (ตรอกผู้ยากไร้)’ ตรอกนี้มีนามเดิมแสนไพเราะว่า ‘ตรอกซงเซียง (ตรอกหอมกลิ่นสน)’
ที่ผู้คนเรียกว่า ‘ตรอกผินหมิน’ นั้นมีสาเหตุ เนื่องจากเฉิงเป่ยแห่งนี้เป็นที่ที่คนยากจนข้นแค้นมารวมตัวอยู่ด้วยกัน และตั้งแต่ราชวงศ์เทียนเฉาก่อตั้งเป็นต้นมา มักมีเหตุอุทกภัยและภัยแล้งที่ทำให้ชาวบ้านต้องอพยพหลบหนี ผู้ลี้ภัยที่หนีเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงในตอนแรกต่างถูกกวาดต้อนให้มาลงหลักปักฐานที่เฉิงเป่ย เมื่อมีคนจำนวนมากพอที่จะตั้งถิ่นฐานได้แล้วก็ต้องเริ่มต้นตั้งตัวกันใหม่ จากที่เคยมีก็กลายเป็นไม่มี จำต้องลำบากมากมายกว่าจะได้เงยหน้าขึ้นใหม่อีกครั้ง