บทที่ 3
“โม่เอ๋อร์เด็กโง่ ตอบแทนบุญคุณใช่ว่าคืนสิ่งของก็จบที่ไหนเล่า หากเรานำเสื้อคลุมไปคืน ก็เพียงแค่คืนสิ่งของที่ยืมมาตั้งแต่แรกเท่านั้น บุญคุณในนั้นกลับไม่ได้คืนให้แม้สักครึ่ง”
เห็นเครื่องหน้าอันประณีตของสาวน้อยยับย่นเหมือนรอยบนซาลาเปาไส้เนื้อ ปากที่เชิดขึ้นก็ยื่นออกจนสามารถนำไปแขวนเนื้อหมูได้สามชั่ง ผู้เป็นพี่สาวจึงรีบปลอบ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว โม่เอ๋อร์ไม่โง่เลย ที่โง่นั้นคือพี่สาวต่างหาก ที่นึกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยและลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ทั้งยังคิดจะปิดบังเจ้า ความจริงแล้วเจ้าเห็นอย่างถ่องแท้ถี่ถ้วน เห็นว่าเขาหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่นี้ออกมาจากกระเป๋าบนหลังม้าใหญ่ตัวนั้น พันโอบรอบพวกเราไว้”
“เจ้าก็เห็นว่าที่นั่นพอตกกลางคืนแล้วหนาวเย็นเพียงใด ลมก็คลุ้มคลั่งรุนแรง เขาสละเครื่องป้องกันความหนาวเพียงอย่างเดียวที่มีให้กับพวกเรา แต่ตัวเองกลับสวมใส่แค่เสื้อบางๆ และทั้งที่งานยุ่งออกขนาดนั้น ยังไม่ลืมที่จะฝากฝังข้ากับเจ้าให้คนอื่นดูแล…” หยุดไปครู่หนึ่ง “เพราะฉะนั้นเจ้าว่าควรทำดีต่อเขาหรือไม่”
“อืม…ที่โม่เอ๋อร์อยากถามก็คืออย่างไรถึงเรียกว่าดี อย่างไรถึงเรียกว่าตอบแทนบุญคุณใช่หรือไม่” นางขบริมฝีปากคิด หยุดไปเป็นนานค่อยกล่าวขึ้น “อ้อ…ก็คือเวลามีของดี ให้เก็บบางส่วนไว้ให้เขา อะไรที่เขาชอบ ก็หามาให้เขาถึงตรงหน้า”
เขาบอกว่า…
‘พรุ่งนี้ข้าไม่มาแล้ว’
นั่นแสดงว่าพรุ่งนี้เขาคงจะออกจากเมืองหลวงไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่
นางรู้ว่าเขาจะไปพรุ่งนี้เช้า เพราะว่าวันนี้เขายังต้องไปสอนการต่อสู้ที่ลานเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณที่ลึกที่สุดของตรอกซงเซียง
เมื่อเขามาสอนการต่อสู้ในตรอกซงเซียง หากเป็นช่วงเวลาหลังเที่ยง จะเริ่มสอนในยามเว่ย และเลิกชั้นเรียนที่ปลายยามเซิน นับเป็นเวลาสองชั่วยามเต็มๆ
วันในฤดูหนาวท้องฟ้าจะมืดเร็ว เพิ่งถึงช่วงยามเซิน ท้องฟ้าและเมฆในที่ไกลออกไปก็เริ่มย้อมเป็นสีส้มแสด ในสีแสดมีสีแดง ในสีแดงแซมสีม่วง ในสีม่วงยังแทรกด้วยหยาดน้ำหมึกสีดำ มีฝูงนกบินผ่านฟากฟ้า ราวกับกำลังหาทางกลับรัง บินตามกระแสลม กลางคลื่นท้องฟ้าไร้ขอบเขต
เมื่อการสอนการต่อสู้จบลง เมิ่งอวิ๋นเจิงจะคุยกับเด็กไม่กี่คนที่มาขอให้สอนเป็นการส่วนตัว หลังจากให้คำชี้แนะทีละคนแล้ว พอเขากำลังจะหมุนตัวเตรียมจากไป ก็มองเห็นแม่นางที่ขายโจ๊กผู้นั้นยืนอย่างสงบนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของตรอก
ผ้าโพกศีรษะสีเขียวที่นางสวมเวลาต้มโจ๊กถูกปลดลงแล้ว เส้นผมอ่อนนุ่มยามต้องแสงท้องฟ้าช่วงใกล้ค่ำกลายเป็นสีแดง ขับให้ผิวขาวของใบหน้าอ่อนลงราวกับน้ำนม คิ้วของหญิงสาวสองเส้นโค้งโอนอ่อนดั่งวาดเขียนขุนเขาไกล ยามก้มหน้าพริ้มตา ให้ความรู้สึกที่ยากจะเอ่ยคำบางประการ
ยามนี้มือขวานางถือตะกร้าไม้ไผ่หนึ่งใบ มือซ้ายกำลังจูงน้องสาวตัวน้อย เมื่อเห็นเขามองไป ดวงตาของนางก็สั่นสะท้านราวกับกวางน้อยที่ตื่นตกใจ ก่อนจะกลับสู่ท่าทีอันอ่อนโยนตามเดิม ทั้งยังคลี่ยิ้มให้เขาอย่างงดงาม
เขาเข้าใจในทันใด ว่าแม่นางตั้งใจมารอคอยที่ตรงนั้น และผู้ที่นางรอคอยก็คือเขา
ไม่ทราบว่าในทรวงอกเต้นเร่าอย่างบ้าคลั่งเพราะอะไร เขาหักห้ามความรู้สึกที่อยากจะใช้มือทุบอกเอาไว้ ลอบผ่อนลมหายใจ และมองดูนางที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
“ท่านเมิ่ง” นางพยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งที่เห็นแล้วว่านางมีรูปร่างแบบบาง แต่พอตอนนี้ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากัน เขายิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวช่างตัวเล็ก ศีรษะสูงสุดเพียงอกของเขา…อืม หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเขารูปร่างสูงใหญ่กำยำ แข็งแรงล่ำสัน ฝ่ามือใหญ่ราวใบพัด พอมาเทียบกันจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเตี้ยเล็กเกินไป
นางตัวเล็ก น้องสาวนางก็ยิ่งตัวเล็ก ต่างเป็น ‘สิ่งเล็กๆ’ ที่เห็นแล้วทำให้อยากปกป้อง
ทุกครั้งที่ไปกินโจ๊กที่เรือนหมู่ คนที่การได้ยินเป็นเลิศอย่างเขาแม้จะรออยู่ในครัวเล็กๆ ก็ยังได้ยินเสียงจากห้องนอนที่อยู่ติดกันได้อย่างชัดเจน เวลาที่นางง่วนอยู่กับงานในครัว น้องสาวนางมักจะหลับสนิทอยู่บนเตียงยาว แต่จะมีสองสามครั้งที่เด็กสาวตื่นขึ้นมา และดูเหมือนจะอายคนแปลกหน้าจนไม่กล้าออกมา จึงเฝ้าอยู่ที่ข้างประตู บนแผ่นประตูที่ทั้งบางทั้งเก่าคร่ำมีตาแมวที่ขนาดเล็กยิ่งกว่าเหรียญทองแดง สาวน้อยจะพิงอยู่ตรงนั้นและมองลอดผ่านตาแมวเข้ามาในครัว
เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เคยสบสายตากับดรุณีน้อยมาก่อน นึกไม่ถึงว่ามาวันนี้เด็กสาวจะเอ่ยประโยคนั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย
เขามาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มาทุกวันเพื่อ…ขอกิน
พอนึกถึงว่าตอนนั้นช่างน่ากระอักกระอ่วน ทั้งยังทำให้แม่นางที่เป็นคนทำโจ๊กต้องออกมาแก้ต่างให้
และเพราะเขาดูเป็นคนเคร่งขรึมเย็นชามาแต่กำเนิด ผู้อื่นไม่กล้าไถ่ถามมากความ เรื่องในตอนนั้นจึงยังไม่ทันคลี่คลาย ประจวบกับทางหน่วยประตูหกบานส่งผู้ช่วยมาจับกุมอันธพาลทั้งสามของสกุลจ้าวไป ซึ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนไว้พอดี