ปลายฤดูหนาว ห่างไกลจากวี่แววของฤดูใบไม้ผลิ ในวันที่อากาศหนาวมาก เจียงหุยเสวี่ยยังคงต้มน้ำร้อนตอนเช้าให้ตนเองกับโม่เอ๋อร์อาบ
หลังจากมาอาศัยในตรอกซงเซียง กิจวัตรประจำวันของสองพี่น้องก็กำหนดได้แน่นอนแล้ว ตอนเช้าตั้งแผงขายโจ๊ก ตอนสายเก็บแผง นางจะให้โม่เอ๋อร์ฝึกวิชาธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ตามด้วยกินข้าวเที่ยง
ตกบ่าย โม่เอ๋อร์ไปเล่นกับพวกเด็กๆ ในตรอก นางก็ไปอยู่กับพวกเพื่อนบ้านในเรือนหมู่ เรียนรู้ที่จะทำผักดอง เย็บปักเสื้อผ้า ตัดรองเท้า เรียนงานทุกอย่างที่นางอยากเรียนแต่ไม่เคยมีใครสอน นางเรียนรู้ได้ดีและเรียนได้เร็ว นิสัยนอบน้อมอ่อนโยนทั้งยังรู้จักตอบแทนผู้อื่น ทำให้บรรดาท่านยาย ท่านอา และท่านป้าในเรือนหมู่ย่อมสอนนางอย่างตั้งใจ
เมื่อถึงยามโหย่ว หลังจากสองพี่น้องอาบน้ำกินอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้ว ก็จะเก็บกวาดครัวเล็ก นางจะให้โม่เอ๋อร์ฝึกวิชาธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคยกับวิธีเดินลมปราณหายใจเข้าออก ยามฝึกเสร็จเป็นเวลาดึกแล้ว ก็จะขึ้นเตียงเข้านอน
“โม่เอ๋อร์มีความสุขเรื่องอะไรหรือ”
หลังจากอาบน้ำ กินข้าวและน้ำแกงร้อนๆ แล้ว เจียงหุยเสวี่ยตอนนี้นั่งอยู่บนเตียง หันหน้าเข้าหาโม่เอ๋อร์ มือของสองพี่น้องประสานกัน ฝ่ามือของนางหงายขึ้น มือของโม่เอ๋อร์คว่ำวางอยู่บนมือนาง
เมื่อได้ยินพี่สาวถามเช่นนี้ ดรุณีน้อยก็ลืมตาคู่งามขึ้นมา นัยน์ตาดุจมุกสีดำสนิทกลอกรอบหนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มหวานเชื่อม
“คิดถึงเรื่องที่ปั้งโถวให้แมลงปอไม้ไผ่บินได้กับเจ้า? หรือว่าเรื่องลูกสุนัขเพิ่งคลอดในบ้านของหนิวนิว?” เจียงหุยเสวี่ยถามอีก บนริมฝีปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองฝึกวิชาธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณพร้อมกัน ฝ่ามือประกบกันเป็นวงจรลมปราณที่เชื่อมถึงกัน นางรับรู้ได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านในกายโม่เอ๋อร์ เป็นความเบิกบานใจที่แข็งแรงเปี่ยมพลัง
บางครั้งนางมิอาจไม่ทอดถอนใจ แต่ก็มิอาจไม่ยินดี คำกล่าวที่ว่า ‘สิ่งสวยงาม ผู้คนรักใคร่’ เจียงหุยเสวี่ยนึกถึงเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และมักจะคิดว่าน้องสาวนางแม้จะเป็นดรุณีน้อยที่มีสติปัญญาไม่ครบถ้วน และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต แต่ว่าโม่เอ๋อร์มีผิวที่สวย หน้าตาสะอาดสะอ้านงดงาม ใครได้เห็นก็อยากผูกมิตรชิดใกล้
อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เด็กๆ ในตรอกซงเซียงชื่นชอบการอยู่กับโม่เอ๋อร์มาก และเพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ต่างอาศัยในเรือนหมู่ ปั้งโถวน้อยของบ้านท่านยายเฉียวเห็นโม่เอ๋อร์เป็น ‘คนกันเอง’ คอยปกป้องให้ท้ายเป็นอย่างดี
โดยไม่รู้ว่าพี่สาวในใจนึกคิดแปรเปลี่ยนไปมาเช่นไร ดรุณีน้อยยังคงยิ้ม ทำได้เพียงยิ้ม สีหน้าดูโง่งม ท่าทางสงบนิ่งว่านอนสอนง่าย
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างคิดถึงแมลงปอไม้ไผ่บินได้ที่แม้จะเล่นกันตลอดบ่ายก็ยังอยากจะเล่นต่อ แล้วก็คิดถึงลูกสุนัขคอกนั้นที่ขนอ่อนนุ่มและน่ารักมากพอที่ละลายหัวใจของคน
เจียงหุยเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ ชักสองมือกลับแล้วกำหลวมๆ รอบมือของดรุณีน้อย พลางกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ดีแล้ว” จากนั้นหยักมุมปากยิ้ม ใช้นิ้วลูบไล้หลังมือที่บอบบางของอีกฝ่ายไว้ “เป็นเช่นนี้ถึงจะดี โม่เอ๋อร์คิดถึงแต่เรื่องของคนและสิ่งของที่ทำให้มีความสุข เมื่อฝึกปรือลมปราณชนิดนี้ก็จะยิ่งให้ผลเป็นเท่าทวีคูณ”
นี่เป็นความรู้ใหม่ของนาง เป็นสิ่งที่นางค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ
นางพบว่าเวลาที่หายใจเดินลมปราณตามหลักวิชาธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ จิตเกิดสภาวะสมาธิ เข้าสู่ความเงียบสงัดไร้พรมแดน เป็นเช่นนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่ดี นางคิดว่านั่นคือสภาวะการฝึกลมปราณที่ควรจะเป็น
แล้วมีครั้งหนึ่งที่นางกำลังฝึกเดินลมปราณ ดูเหมือนว่านางได้หลุดออกจากสมาธิ เพียงดูเหมือนเท่านั้น นางไม่สามารถตัดขาดได้ทั้งหมด ที่นั่นความเงียบสงัดไร้พรมแดนเริ่มมีแสงสี จากนั้นก็กลายเป็นภาพ เป็นภาพทิวทัศน์หลายๆ ฉาก ไม่ได้เป็นภาพจินตนาการขึ้นจากความว่างเปล่า ภาพที่เห็นต่างก็เป็นผู้คนที่เคยพบเจอ และเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น
ทั้งเรื่องที่มีความสุข เรื่องน่ายินดี เรื่องเบิกบานใจ เรื่องที่อบอุ่น…ปราณของนางกลายเป็นมีชีวิตชีวาในทันที เลือดใต้ผิวหนังพลุ่งพล่าน จิตวิญญาณในธรรมชาติราวกับรู้ตื่น เชื่อมต่อกับอายตนะทั้งห้า กลายเป็นลักษณะที่เรียกว่าธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณจริงๆ
สิ่งที่ก่อความวุ่นวายและพร้อมจะออกมาได้ทุกเมื่อนั้นถูกขจัดออกไปหมด จนนางจำไม่ได้แล้ว จำได้เพียงว่าตอนนั้นรู้สึกสุขสบายไปทั่วร่าง และรู้สึกถึงความอบอุ่นซาบซ่านในหัวใจ
ตอนนี้โม่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็นฝ่ายกุมมือนาง แล้วหลับตาลงอีกครั้ง เจียงหุยเสวี่ยปรับลมหายใจใหม่อีกครั้ง หลับตาลงฝึกต่อ