“ขอบคุณแม่นาง เช่นนั้นผู้แซ่เมิ่งไม่เกรงใจแล้ว” ยังรู้จักขอบคุณสักคำ นับว่าเขามีความตั้งใจแก่กล้า จากนั้นเขาก็มือหนึ่งหยิบช้อนไม้ มือหนึ่งถือตะเกียบ ลงมือกินอาหาร
หม้อไฟร้อนๆ บวกกับรสเผ็ดอ่อนๆ ของผักดอง แม้จะเป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจและกระเพาะของผู้คนอบอุ่นในค่ำคืนอันเหน็บหนาว
มารยาทการกินของเขาไม่หยาบคาย แม้จะหิวจนท้องร้องโครกคราก เมื่ออาหารมาอยู่ตรงหน้า เขาก็กินอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้สวาปามกลืนลงท้อง กลับกินแต่ละคำอย่างตั้งใจ ท่วงท่าจริงจัง ตักข้าวต้มกินคำหนึ่ง คีบผักกินคำหนึ่ง เวลากินไม่พูดจา ไม่นานนักก็ยกชามขอบกว้างใบใหญ่ขึ้นซด ผักดองจานเล็กสามจานก็กินหมดพอดี
เจียงหุยเสวี่ยนึกทบทวน เมื่อมองดูบุรุษตรงหน้ากินอาหาร ในใจนางจะรู้สึกเต็มอิ่มจนถึงขั้นภาคภูมิใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าอาหารนั้นเรียบง่ายแทบไม่มีอะไรเลย เขากลับกินอย่างเอร็ดอร่อยปานนั้น นางอดคิดไม่ได้ว่าเวลาที่เขาออกไปทำงาน ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว จะจัดการเรื่องอาหารการกินอย่างไร ใช่อดมื้อกินมื้อหรือไม่ หรือว่าทนกินอาหารแห้งไปก่อนเพื่อความสะดวก
เมื่อเงยหน้าแล้วเห็นหญิงสาวจ้องตนเขม็ง เมิ่งอวิ๋นเจิงก็รู้สึกกระดาก แต่ยังคงรักษาท่าที เพียงยิ้มอย่างสุขุมพลางกล่าว “อาหารมื้อนี้ดียิ่ง รบกวนแม่นางแล้วจริงๆ”
อาหารมื้อนี้…ดียิ่ง? เอ…
เจียงหุยเสวี่ยสะกดกลั้นการถอนหายใจไว้ พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้คำขอบคุณของเขา ดวงตาชำเลืองมองไปที่โต๊ะน้ำชา ตอนนี้เขากินข้าวต้มหม้อไฟเสร็จแล้ว นางจึงถาม…
“ท่านเมิ่งนำของมา…เป็นสิ่งใดกัน ดูแล้วเหมือนของเล่นไม้ที่พวกเด็กๆ เล่นกัน”
นางสังเกตสีหน้าของโม่เอ๋อร์ เดิมใบหน้าน้อยๆ ที่ดูง่วงงุนกลายเป็นตื่นเต็มที่ นัยน์ตารูปเมล็ดซิ่งกลมโต จากเดิมที่จ้องมองบุรุษตาไม่กะพริบ พอฝ่ายหลังลงมือกินข้าวต้มหม้อไฟ ดวงตารูปเมล็ดซิ่งคู่นั้นก็เปลี่ยนมามองสิ่งของบนโต๊ะเล็ก โม่เอ๋อร์จับจ้องไม่วางตา มีประกายของความหลงใหล
เห็นได้ชัดว่าดึงดูดความสนใจของดรุณีน้อยแล้ว
เมิ่งอวิ๋นเจิงวางช้อนไม้และตะเกียบ หันไปหาโม่เอ๋อร์อีกครั้ง เขาหยิบของเล่นไม้บนโต๊ะเล็กขึ้นมาเล่นโดยใช้ทั้งสองมือ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ของสิ่งนี้เรียกว่า ‘สิบสองห่วง’ ดูนี่ ด้านบนมีห่วงเล็กอยู่ทั้งหมดสิบสองห่วง ห่วงเล็กเหล่านี้ ห่วงหนึ่งเชื่อมต่อกับอีกห่วง ต้องหาทางเคลื่อนห่วงทั้งสิบสองไปยังอีกด้านของวงกลม ปลดห่วงทั้งสิบสองออกจากกัน ถึงจะเรียกได้ว่าสำเร็จ” เขาอธิบายพลางสาธิตให้ดู สิบนิ้วง่วนเป็นพัลวัน ช่วยไม่ได้ที่แก้ไม่ออกสักห่วง ยังคงคล้องต่อกันเป็นทอด
สุดท้ายก็โยนสิบสองห่วงกลับลงไปบนโต๊ะเล็ก สีหน้าหมดความอดทน “ไม่เล่นแล้ว…ไม่เล่นแล้ว จะเล่นอย่างไรก็เล่นไม่ได้ โกหกผู้คนแท้ๆ น่าจะทิ้งไปตั้งนานแล้วจะได้ไม่เกะกะขวางตา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่อดทนพอจะแก้สิบสองห่วงนี้ออกจากกันได้”
เมื่อของเล่นนั้นหลุดออกจากมือเขา โม่เอ๋อร์ที่ ‘จ้องตาเป็นมัน’ อยู่ด้านข้างก็มาแย่งไปถือไว้กับอก
ดรุณีน้อยเข้าสู่โลกลืมเลือนตัวตนในทันที ถือของเล่นสิบสองห่วงขึ้นมาเล่น เสียงไม้กระทบกันดังสั้นๆ และถี่รัว แล้วความเร็วก็เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าดรุณีน้อยกำลังอารมณ์ดี ตื่นเต้นคึกคักอย่างมาก
หลอกล่อกันนี่นา! เจียงหุยเสวี่ยรู้ได้ในทันที
เริ่มแรกเขาวางสิบสองห่วงไว้บนโต๊ะเล็ก เจตนาเดิมคือเพื่อดึงดูดความสนใจโม่เอ๋อร์
แต่นางรู้ว่าน้องสาวตนไม่มีทางลงมือบุ่มบ่าม แม้ว่าจะล่อสายตาหรือชวนให้คันยุบยิบในหัวใจจนยากจะทานทนเพียงใด ทว่ากับคนหรือสิ่งของที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคยแล้วโม่เอ๋อร์มักจะสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างก่อนเสมอ และเขาก็รู้นิสัยข้อนี้ของโม่เอ๋อร์เป็นอย่างดี
นางดูออกว่าสิบสองห่วงเป็นของที่เขาตั้งใจนำมาให้โม่เอ๋อร์โดยเฉพาะ แต่เขาไม่ได้มอบให้โดยตรง เขารอให้โม่เอ๋อร์มาแย่งไป เพื่อให้โม่เอ๋อร์ลดความระแวงลงอย่างง่ายดาย
“ขอบคุณท่านเมิ่ง” นางยกชาร้อนมาให้เขา
หญิงสาวงดงามและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา มองเจตนาของเขาออก เมิ่งอวิ๋นเจิงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
เขายิ้มออกมาจากใจ น้ำเสียงไม่มีวี่แววของความรำคาญใจเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับสุขุมนุ่มนวล…
“ผู้ที่สมควรขอบคุณคือผู้แซ่เมิ่งต่างหาก ต้องขอบคุณแม่นางโม่เอ๋อร์ที่ในวันนั้นยอมเสียสละขนมแป้งนึ่งให้กับข้า”
“แต่ข้าจำได้…ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้น ท่านเมิ่งไม่ได้กินสักชิ้น” คำพูดนี้พอโพล่งออกไป เจียงหุยเสวี่ยก็รู้สึกเสียใจ นางไม่อยากให้น้ำเสียงตนเองฟังดูเหมือนกำลังแค้นใจ หรือกล่าวโทษใคร