ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทที่ 6
ในที่สุดฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวแสนที่จะบีบคั้นผู้คนก็ได้ผ่านพ้นไป เป็นลมของฤดูใบไม้ร่วงที่นำความสดชื่นมาให้ ดวงอาทิตย์ขับสีเหลืองทองให้กับใบไม้แก่ที่กระจัดกระจายอยู่ตามยอดไม้ อารมณ์ความรู้สึกที่รายล้อมด้วยบรรยากาศหม่นหมองแช่ค้างอยู่ในวันเวลาอันเย็นสบายและอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง ราวกับสายลมได้นำพารอยยิ้มมา ทำให้สบายและสดชื่นขึ้นมาก
และแล้วเทศกาลจงชิว ก็ใกล้เข้ามา เป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์เต็มดวง ผู้คนอยู่กันพร้อมหน้า แต่ก่อนหน้าจะถึงเทศกาลที่ดีที่สุดอย่างเทศกาลจงชิว ราษฎร์ในเมืองหลวงต่างไม่ยอมพลาด ‘เทศกาลตักจันทร์’ ที่ปีหนึ่งมีเพียงหนเดียว
‘เทศกาลตักจันทร์’ เริ่มต้นขึ้นในช่วงสามวันก่อนถึงกลางเดือนแปด ในสามวันนี้ เนื่องจากแม่น้ำสายย่อยหนึ่งของแม่น้ำลั่วอวี้ไหลลดเลี้ยวเข้าเมือง รวมกับความเกี่ยวพันทางภูมิลักษณ์ แม่น้ำสายย่อยจึงไหลมาก่อตัวเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติอยู่ที่เฉิงหนาน ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เทียนเฉาพระราชทานนามให้ว่าทะเลสาบ ‘เยาเยวี่ย (เชิญจันทร์)’ ทุกครั้งที่พระจันทร์ขึ้นถึงกลางฟ้า ผิวหน้าของทะเลสาบเยาเยวี่ยที่ใสดุจกระจกจะสะท้อนภาพเงาจันทร์ แสงที่สะท้อนลงน้ำเป็นประกาย ดวงจันทร์ในน้ำดูราวกับเป็นพระจันทร์จริง บนฟ้ามีแสงจันทร์พราวพร่าง ในทะเลสาบมีแสงจันทร์ระยิบระยับ มักดึงดูดนักกวีโคลงกลอนให้กระโจนเข้าหา
เจียงหุยเสวี่ยแต่งโคลงไม่เป็น ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องกาพย์กลอน แต่หลังจากพาโม่เอ๋อร์มาอยู่อาศัยในเมืองหลวง นี่เป็นครั้งแรกที่ดึกขนาดนี้แล้วนางยังเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของ ‘ท้องฟ้าและทะเลสาบร่วมกันทอแสง’ ที่ทะเลสาบเยาเยวี่ย
และผู้ที่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับก็ไม่ได้มีแต่นางเพียงผู้เดียว
เทศกาลตักจันทร์ที่เมืองหลวงมีอยู่ ไม่อาจสืบทราบความเป็นมาที่แท้จริงได้ เพียงทราบกันคร่าวๆ ว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากการเล่นสนุกในหมู่เศรษฐีชนชั้นสูง
เมืองหลวงใต้เบื้องพระบาทของโอรสสวรรค์ คือสถานที่ที่ดีที่สุด มีเชื้อพระวงศ์และเศรษฐีคหบดีอยู่กันมากมาย เป็นช่วงเวลาอันสงบสุขนับตั้งแต่ก่อตั้งบ้านเมืองมา หลายครอบครัวคหบดีที่มั่งคั่งเหลือกินเหลือใช้และร่ำรวยจนไม่อาจสรรหาคำมาพรรณนา ได้นำสิ่งของใส่ลงในกล่องจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อทำเป็นของขวัญหมั้นหมาย กล่องเหล่านั้นจะเคลือบด้วยน้ำมันจากเมล็ดถงที่สามารถกันน้ำได้ จากนั้นของขวัญหมั้นหมายเหล่านี้ก็จะถูกนำไปวางในทะเลสาบเยาเยวี่ย ท่ามกลางแสงจันทร์บนฟ้า รัศมีจันทร์กว้างไกล แล้วให้หญิงสาวนั่งเรือไปตักขึ้นมา ทำกันจนกลายเป็น ‘เทศกาลตักจันทร์’
มาวันนี้ ของขวัญหมั้นหมายในเทศกาลตักจันทร์ยังคงเป็นของขวัญไร้ราคาค่างวดจากคนชั้นสูงและเศรษฐีคหบดีในเมืองหลวง แต่จะว่า ‘ไร้ราคาค่างวด’ ก็คงไม่ใช่ ด้านบนกล่องไม้กันน้ำที่ใส่ของขวัญหมั้นหมายชนิดต่างๆ ล้วนสลักชื่อของผู้ที่ส่งมอบมันออกมา รูปแบบภายนอกของกล่องไม้ที่แต่ละบ้านนำมาวางก็ไม่ค่อยเหมือนกัน เหล่าชนชั้นสูงและเศรษฐีต่างอยากแย่งชิงหน้าตา จะได้มีหน้ามีตายามเดินอยู่ในเมืองหลวง เทศกาลตักจันทร์จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สร้างหน้าตาให้กับตนเอง ที่สำคัญก็คือ ‘การตักจันทร์’ นี้ เมื่อตักกล่องไม้ใส่ของขวัญหมั้นหมายขึ้นมา ที่แท้ด้านในจะใส่ของสิ่งใดไว้
คืนนี้เจียงหุยเสวี่ยได้มาล่องเรือในทะเลสาบเยาเยวี่ย ไล่เก็บของขวัญหมั้นหมายไปทีละชิ้นๆ หญิงสาวเข้าใจในที่สุดว่าเพราะเหตุใดปีที่แล้วโม่เอ๋อร์ถึงได้อิจฉาหนิวนิว เด็กที่เล่นด้วยกันกับสาวน้อยในเรือนหมู่
เทศกาลตักจันทร์ปีที่แล้ว หนิวนิวตักของขวัญหมั้นหมายขึ้นมาได้ไม่น้อย ถือกลับมายังเรือนหมู่และเปิดดูพร้อมกับโม่เอ๋อร์ เด็กสาวทั้งสองทางหนึ่งเปิดกล่องไม้ ทางหนึ่งก็โห่ร้องและหัวเราะอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ภายหลังนางมาดู ของเล่นที่ใช้เป็นของขวัญหมั้นหมายสารพัดชนิดน่าตื่นตาตื่นใจมาก มีชาดแดงและแป้งประทินโฉมของหญิงสาว ปิ่นปักผมและต่างหูประดับหยกมุกฝีมือประณีตงดงาม มีกำไล สร้อย และดอกไม้กำมะหยี่ มีถุงเครื่องหอม เข็มขัด และผ้าเช็ดหน้าหอมที่เย็บปักอย่างสวยงามวิจิตร มีแม้กระทั่งตั๋วเงินและก้อนเงินวางอยู่ในกล่อง แม้จะไม่ใช่ของสวยงามแต่ก็เป็นที่ชื่นชอบ
ปีที่แล้วพอนางเห็นของขวัญหมั้นหมายที่หนิวนิวแกะออกมา มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
มาปีนี้ เดิมนางไม่คิดจะเข้าร่วม แม้ว่าจะสนใจแต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อน
จะลงทะเลสาบไป ‘ตักจันทร์’ ได้ ก่อนอื่นต้องมีเรือเล็กสักลำ พอถึงเทศกาลตักจันทร์ คนปล่อยเช่าเรือตามริมทะเลสาบจะมากขึ้น แต่ว่าราคาก็จะยิ่งทบเท่า ทบเท่า ทบเท่าทวีคูณ เพียงมองดูอย่างเดียวก็รู้สึกเจ็บเข้าเนื้อ นางยังต้องใช้เงินเหล่านั้นซื้อของใช้จำเป็นและตัดชุดฤดูหนาวให้โม่เอ๋อร์อีก ไม่อยากจะสิ้นเปลืองเช่นนั้น
แต่เมื่อสองวันก่อน ท่านยายเฉียวมาเอ่ยปากชวนนางกับโม่เอ๋อร์ให้ไปล่องเรือ ‘ตักจันทร์’ ด้วยกัน บอกว่าลูกค่าเก่าท่านหนึ่งของร้านแป้งย่างช่วยเป็นธุระหาเรือยาวสองลำที่ค่าเช่าราคางามมาให้ท่านยายเฉียว กระทั่งนายเรือที่มีหน้าที่ถ่อและพายเรือก็ตามติดมาด้วย ดังนั้นจึงกะจะให้ปั้งโถวพาโม่เอ๋อร์และหนิวนิวนั่งเรือยาวลำหนึ่ง ส่วนท่านยายเฉียวกับนางนั่งอีกลำหนึ่ง
ตอนแรกเจียงหุยเสวี่ยกล่าวปฏิเสธ แต่ท่านยายเฉียวคว้ามือนางไว้แล้วโน้มน้าวอีกครั้ง…
‘ตอนแรกที่เจ้าเข้ามาอยู่ในเรือนหมู่ เอวกับขาของตาแก่เฉียวยังใช้การไม่ค่อยได้ มารดาของปั้งโถวดูแลร้านตามลำพังไม่ไหว เห็นทีร้านแป้งย่างเฉียวจี้ของเราจะต้องปิดกิจการเสียแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าให้ตำรับยามา บอกว่าสามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก บำรุงเลือดลม ยายแก่อย่างข้าก็ได้ลองยามาหมดทุกขนานแล้ว ไม่นึกว่าจะเจอยาที่รักษาได้จริงๆ ตอนที่ตาแก่เฉียวเริ่มรักษาโรค ยังต้องคอยดื่มยาถี่ๆ สองปีมานี้พักฟื้น สิบวันครึ่งเดือนค่อยดื่มยาที โรคเจ็บขาจากพิษเย็นสั่งสมก็หยุดกำเริบแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้า คนที่ควรจะขอบคุณคือพวกข้าต่างหาก เจ้าจะมัวเกรงใจอะไรเล่า’
ตำรับยารักษาโรคเอวและขาที่ท่านยายเฉียวพูดถึงนั้น สมัยที่นางเป็นเด็ก นางเคยเห็นในตำราแพทย์ของท่านยาย
ล้วนอาศัยความทรงจำอันดี นางที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบได้ท่องตำราแพทย์ที่สืบทอดมานานในเผ่าไว้จนขึ้นใจ เมื่อชีวิตนางสงบสุขดีแล้ว นางจึงค่อยๆ เขียนเนื้อหาในตำราแพทย์ขึ้นมาจากความทรงจำของนาง มีบางตำรับที่นางยังจำได้อย่างแม่นยำ บางตำรับก็ตกหล่นขาดหาย
ที่น่าแปลกก็คือตั้งแต่นางย้อนทบทวนความทรงจำในวัยเยาว์ ลองค้นหาสิ่งที่นางเคยร่ำเรียนมาก่อนในห้วงสมอง ทุกอย่างช่างยากเย็น แต่พอนางจับอะไรบางอย่างได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือจะเป็นเสียง หลังจากนั้นนางก็เริ่มจำได้ จากจุดเล็กๆ มารวมกันกลายเป็นลายเส้น และจากลายเส้นก็จะกลายเป็นภาพทั้งหมด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ มา เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเค้นบังคับ
ภายหลังท่านยายเฉียวจึงใช้ ‘ทีเด็ด’ ผลักโม่เอ๋อร์ออกมาข้างหน้า