“สะใภ้สี่กลัวจะขมหรือ” จางหมัวมัวถามหยั่งเชิง แล้วชี้ไปที่ชามหยกขาวอีกใบหนึ่ง “นี่ไม่ใช่เตรียมน้ำหวานไว้ให้ท่านแล้วหรือ” เห็นนางเม้มปากแน่น จางหมัวมัวก็ถอนหายใจ “ท่านหมอเหยียนบอกท่านจมน้ำ ความเย็นเข้าสู่ร่างกาย ถ้าไม่บำรุงรักษาให้ทันท่วงทีก็จะทิ้งโรคเรื้อรังไว้” จากนั้นก็เช็ดๆ ดวงตา “บ่าวเพิ่งทราบ คุณชายสี่เพิ่งจากไป ท่านมีความทุกข์ทรมานใจ แต่ท่านอายุยังน้อย วันเวลายังอีกยาวนาน อย่าได้คิดไม่ตกเป็นอันขาด”
หลิ่วเอ๋อร์สะอึกสะอื้นขึ้นมา
ได้ยินเสียงร้องไห้จางหมัวมัวก็สะดุ้งตกใจ หันไปมองประตูห้องว่ามีคนหรือไม่ทันที จากนั้นก็ถลึงตาใส่หลิ่วเอ๋อร์อย่างดุดันทีหนึ่งแล้วยื่นชามยาให้นาง “เจ้าอยู่ปรนนิบัติก่อน ข้าจะไปเรียนนายหญิงใหญ่”
หลิ่วเอ๋อร์กัดฟันแน่น ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ไม่สนใจเลี่ยวจิ้งชูที่สั่นหัวไม่หยุด ดึงดันจะยกชามยามาที่ริมฝีปากของนาง
หลิ่วเอ๋อร์จำเป็นจะต้องกรอกยาลงไปเดี๋ยวนี้ เพราะถ้าถูกคนพบเห็นเข้าจะลำบาก
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ใช้กำลังบีบบังคับ เลี่ยวจิ้งชูร่างสั่นเทิ้ม แขนขยับเล็กน้อย คิดจะปัดชามยาให้คว่ำ กลับใช้แรงออกมาไม่ได้แม้แต่น้อยนิด
ทำอย่างไรดี…บอกไปตามตรงว่ายานี้มีพิษ?
ดูจากท่าทาง น่ากลัวว่าหลิ่วเอ๋อร์จะต้องเป็นสุนัขจนตรอกกระโดดขึ้นกำแพง
หากคิดจะใช้ฐานะของความเป็นนายขู่ขวัญหลิ่วเอ๋อร์ล่ะก็ เลี่ยวจิ้งชูส่ายหัวทันที รู้ทั้งรู้ว่านางฟื้นคืนสติแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ยังดึงดันจะกรอกยา ไม่กลัวว่านางจะรู้ว่าถูกวางยาให้เป็นใบ้ เห็นชัดว่านางกลัวนายหญิงใหญ่มากกว่า
ในจวนแห่งนี้คำสั่งของนายหญิงใหญ่น่าจะมีอำนาจสูงสุดแล้ว!
ทั้งที่รู้ว่านางเขียนหนังสือได้ วางยาให้นางเป็นใบ้ก็แค่ปิดหูขโมยกระดิ่งแต่นายหญิงใหญ่ยังคงยืนกราน เห็นได้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ปกติธรรมดา ปิดบังท่านน้าหลวนเช่นนี้ ไม่แน่นายหญิงใหญ่อาจยังคิดหาวิธีทำให้นางเขียนหนังสือไม่ได้ด้วย
ที่แท้แล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้นายหญิงใหญ่หวาดกลัวเช่นนี้
จิตใต้สำนึกบอกกับนาง ต้องไม่ใช่เช่นที่หลิ่วเอ๋อร์พูดว่ามีสาวใช้ประจำตัวตายไปคนหนึ่ง
เลี่ยวจิ้งชูมองหลิ่วเอ๋อร์ คิดจะบอกไปตรงๆ ว่านางสูญเสียความทรงจำแล้ว ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ต้องดื่มยานี้หรอก ทว่าก็ได้แต่ฝืนยิ้ม มาพูดตอนนี้น่ากลัวจะช้าไปแล้ว
สูญเสียความทรงจำกับดื่มไม่ดื่มยาไม่เกี่ยวกัน นางพลาดโอกาสที่จะพูดไปแล้ว หลิ่วเอ๋อร์จะต้องเห็นว่านางแสร้งทำเป็นสูญเสียความทรงจำแน่
ความคิดหมุนไปอย่างเร็วรี่ เลี่ยวจิ้งชูคิดหาหนทางไปร้อยแปด กลับไม่มีสักวิธีที่ใช้ได้ นางจำต้องกัดฟันเอาไว้แน่น แม้จะรู้ว่าทำเช่นนี้จะยืนหยัดได้ไม่นาน แต่นางก็ยังคงยืนหยัดต่อไป เวลาที่ผ่านไปไม่กี่อึดใจล้วนทุกข์ทรมาน เพียงเวลาชั่วแวบเดียวก็มีเหงื่อออกมาชุ่มร่าง วันแรกที่ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางก็ได้ลิ้มรสชาติที่ว่า ‘มีดเขียงคือเขา เราเป็นเนื้อปลา’
“น้องสาวฟื้นแล้วหรือ เหตุใดจึงคิดไม่ตกเช่นนี้!”
ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นั้น เสียงสุภาพนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เลี่ยวจิ้งชูช้อนตามองไป ก็เห็นสาวใช้หน้าตางดงามกลุ่มหนึ่งเดินล้อมหญิงแต่งงานแล้วหน้าตาสะสวยท่าทางสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ผลักประตูเข้ามา
หญิงหน้าตางดงามคนนั้นสวมเสื้อคลุมบุนวมตัดเย็บจากผ้าดิ้นอวิ๋นจิ่นลายดอกสีขาว ข้างในสวมกระโปรงสีน้ำเงินปักลวดลายที่ขอบชุด เสื้อผ้าที่สวมใส่ฝีมือในการตัดเย็บชั้นหนึ่ง แม้จะดูเรียบง่าย แต่ไม่อาจอำพรางความงดงามล้ำค่าไว้ได้ ยิ่งไม่อาจอำพรางรูปโฉมอันอรชร ใบหน้าขาวคิ้วดำเรียวงาม และที่ทำให้เลี่ยวจิ้งชูประหลาดใจก็คือหญิงผู้นี้แลละม้ายคล้ายคลึงกับหลิ่วเอ๋อร์อยู่สามส่วน แต่งามล้ำมากกว่า บุคลิกท่วงทีสูงส่งสง่างามกว่า ผิวพรรณขาวหมดจดกว่าหลิ่วเอ๋อร์