ซิ่วเอ๋อร์มองลุงใบ้แวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“ประตูวงเดือนนี้เป็นทางเข้าออกทางเดียวของสวนดอกไม้ ไม่มีประตูอื่นอีก”
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าขรึมลงทันที ถามเสียงเยียบเย็น
“ลุงใบ้จะบอกว่าสวนแห่งนี้นายท่านเป็นคนควบคุมดูแลเอง ข้าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย?”
คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะถามออกมาเช่นนี้ ในดวงตาลุงใบ้มีประกายวาววับพาดผ่าน เขามองประเมินหญิงสาวตัวเล็กในชุดสีขาวที่ดูอ่อนแอบอบบางผู้นี้อีกครั้ง
หลวนอวิ๋นชูสีหน้าไม่เปลี่ยน กวาดสายตามองผ่านทุกคนไปช้าๆ สุดท้ายก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างของลุงใบ้ พูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ข้าเพิ่งแต่งเข้ามา เรื่องบางอย่างก็ยังไม่เข้าใจ ลุงใบ้ช่วยอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด ในจวนมีนายหญิงใหญ่อยู่ เหตุใดคนที่เป็นพ่อสามี…จึงเข้ามายุ่งเรื่องในเรือนด้านหลังของสะใภ้โดยตรง”
นี่เป็นยุคสมัยโบราณ บุรุษจัดการเรื่องภายนอกสตรีจัดการเรื่องภายใน เรื่องในเรือนด้านหลังเจ้าบ้านฝ่ายหญิงต้องเป็นคนดูแล
ความหมายของหลวนอวิ๋นชูชัดเจนยิ่ง นั่นคืออยากรู้ว่าเพราะเหตุใดต่งกั๋วกงจึงเป็นคนควบคุมดูแลสวนแห่งนี้ด้วยตนเอง นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างสงสัย
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แต่หลวนอวิ๋นชูออกจะพูดแรงไปสักหน่อย เน้นย้ำถึงฐานะของนางกับต่งกั๋วกงในจวนแห่งนี้ เมื่อพิจารณาใคร่ครวญอย่างละเอียด มีแม่สามีอยู่ มือของพ่อสามีก็ดูจะยื่นออกมายาวเกินไปแล้ว ถึงกับมายุ่งเรื่องของสะใภ้ ถ้าเป็นยุคสมัยปัจจุบันก็ไม่มีอะไร แต่ในยุคสมัยโบราณที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเข้มงวดย่อมแฝงความหมายที่แตกต่างกันไป ในคำพูดที่นุ่มนวลเจือความหมายของการบีบบังคับให้ตอบคำถาม
ดูจากท่าทางของลุงใบ้ ไม่ต้องถามก็รู้ สวนดอกไม้แห่งนี้ต่งกั๋วกงต้องเป็นคนควบคุมดูแลด้วยตนเองอย่างแน่นอน เห็นหลวนอวิ๋นชูน้ำเสียงไม่เป็นมิตร สี่จวี๋สี่หลันก็สีหน้าแปรเปลี่ยน มองคนทั้งสองอย่างเคร่งเครียด กลัวยิ่งว่าทั้งสองขัดแย้งกันแล้วเรื่องจะลุกลามไปถึงนายท่าน
หลวนอวิ๋นชูไม่เป็นไร แต่พวกนางจะต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
รู้ตัวว่าตนเองเผลอพลั้งไป ส่วนลึกในดวงตาลุงใบ้มีประกายตื่นตระหนกผุดขึ้นมาจางๆ ทว่าวูบเดียวก็เลือนหาย จากนั้นก็ทำมือทำไม้อีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงมองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้านอบน้อมจริงใจ
เห็นลุงใบ้มีท่าทีเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปที่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยความร้อนใจ ทว่าเพียงได้ยินซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
“เรียนสะใภ้สี่ ลุงใบ้บอกท่านเข้าใจผิดแล้ว นายท่านเพียงเพราะเห็นคุณชายสี่จากไปแล้ว วันนั้นบังเอิญนายท่านมาที่นี่ จึงถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ได้สั่งห้ามทุกคนไม่ให้เข้ามาในสวนแห่งนี้ แต่ไรมาสวนแห่งนี้ไม่เคยมีคนนอกเข้ามา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดออกมาเช่นนั้น ขอสะใภ้สี่โปรดอย่าได้ถือโทษ”
คำตอบนี้ตอบได้ฝืดฝืนยิ่ง ฟังออกว่าลุงใบ้เหมือนพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่าง แต่หลวนอวิ๋นชูก็รู้ว่าเขาไม่อยากบอก บีบคั้นถามต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ นางจึงพูดอย่างแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ลุงใบ้ก็นำทางเถอะ ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
เห็นชัดว่าคาดไม่ถึงที่หลวนอวิ๋นชูยังยืนกรานจะเข้าไป ลุงใบ้ตะลึงงันอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความจำใจแล้วทำมือทำไม้อีกพักหนึ่ง
“ลุงใบ้บอก หากสะใภ้สี่จะเข้าไป ก็ขอให้ท่านเข้าไปเพียงคนเดียว ทั้งนี้จะได้ไม่เหยียบย่ำดอกไม้ต้นหญ้าเสียหาย เข้าไปแล้วโปรดจำไว้ว่าไม่อาจเที่ยวแตะต้องดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ข้างในส่งเดช โดยเฉพาะต้องระวังอย่าถูกขีดข่วนเป็นแผล”
ฟังอยู่พักใหญ่ ก็แค่กลัวคนอื่นจะไม่รู้จักทะนุถนอม เหยียบย่ำสวนเสียหาย คนที่ทุ่มเทจิตใจและกำลังดูแลต้นไม้ดอกไม้ รักต้นไม้อย่างจริงใจล้วนมีจิตใจเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าหยาดเหงื่อแรงกายของตนจะถูกคนย่ำยี คำพูดของลุงใบ้นั้น หลวนอวิ๋นชูเข้าใจดีและไม่ได้โต้แย้ง
“ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็หันไปที่สี่จวี๋สี่หลัน “เจ้าสองคนรออยู่ข้างนอก ข้าเข้าไปสักประเดี๋ยวก็ออกมา”