ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 59
บทที่ 59
เถิงอวี้อี้ยิ้มอย่างประหลาดใจ “ให้ข้าหรือ”
พอนางเปิดฝากล่องไม้เคลือบเงาไอร้อนสีขาวก็ลอยฉุยขึ้นมาตรงหน้า ภายในกล่องมีขนมรูปร่างกลมดิกวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ในขนมคล้ายจะผสมน้ำคั้นจากใบพืชบางชนิด บนก้อนแป้งเจือสีเหลืองจางๆ น่าเสียดายไส้ขนมในแต่ละชิ้นเติมเข้ามาไม่สม่ำเสมอสักเท่าไร บางชิ้นไม่แบนราบก็พองนูนจนเกินไป
ชี่จื้อรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “นี่เป็นขนมซานชิงของอารามพวกเรา ข้ากับเจวี๋ยเซิ่งตื่นขึ้นมาทำแต่เช้าตรู่ ยังนวดแป้งได้ไม่ดีพอ แต่รสชาติไม่เลวนะ คุณหนูตู้ กล่องนี้ให้ท่านขอรับ”
“ข้าก็ได้ด้วยหรือ” ตู้ถิงหลันยิ้มแล้วรับกล่องมา
เจวี๋ยเซิ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม “สูตรทำขนมซานชิงนี้สืบทอดมาจากอาจารย์ตาของอาจารย์ตา ในขนมจะเติมสมุนไพรชั้นเยี่ยมลงไปหลายชนิด มีสรรพคุณช่วยเสริมพลังปราณบำรุงร่างกาย ทุกปีช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนอาจารย์ตาจะสั่งให้อารามเราทำเตรียมเอาไว้เยอะเลย กินแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเชียวล่ะ พวกเรายังเติมข้าวเหนียวถั่วบดในไส้ขนมไปอีกมาก รสชาติหวานอร่อยแน่นอน ช่วงสองสามวันมานี้คุณหนูเถิงกับคุณหนูตู้พบเจอเรื่องน่าตระหนกตกใจ กินขนมแล้วตลอดทั้งคืนนี้จะไม่มีทางฝันร้าย”
เถิงอวี้อี้มองขนมนิ่งงันไม่พูดไม่จา นางมองทะลุผ่านไอร้อนเจือกลิ่นหอมหวาน ราวกับมองเห็นหัวใจที่อบอุ่นร้อนผ่าวสองดวงของเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ
เถิงอวี้อี้หลับตาลงสูดดมกลิ่น ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยินดีปรีดา “ดมกลิ่นก็รู้แล้วว่าอร่อยเพียงใด ชุนหรง รีบยกกล่องอาหารพวกนี้ไปที่ห้องโถงบุปผา อาหารเช้าข้าคงไม่กินอย่างอื่นเพิ่มอีก กินเพียงขนมที่ท่านนักพรตน้อยของพวกเราทำเองกับมือแล้วกัน”
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อดีอกดีใจเหลือเกิน ไม่คิดว่าคุณหนูเถิงจะชอบถึงเพียงนี้ ดูท่าการให้ขนมเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่ผิดเลย
ความจริงจนถึงช่วงก่อนนอนเมื่อคืนพวกเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาของขวัญอะไรติดมือมาที่จวนสกุลเถิง คุณหนูเถิงเชื้อเชิญพวกเขามากินของอร่อยโดยเฉพาะ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรมาเยือนมือเปล่า พวกเขานอนปรึกษาหารือกันอยู่ในห้อง ประเดี๋ยวคุยกันว่าจะวาดยันต์ให้คุณหนูเถิงเพิ่ม ประเดี๋ยวก็คุยกันว่าพรุ่งนี้จะซื้อเครื่องประทินโฉมไปสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าในตอนนั้นเองศิษย์พี่จะกลับอารามมากะทันหัน บางทีคงได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ขณะผ่านระเบียงทางเดินก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘เครื่องประทินโฉมที่พวกเจ้าให้นางจะกล้าใช้หรือไม่เล่า นางชอบกินขนมมากไม่ใช่หรือ ลองทำขนมซานชิงดูสิ ไม่เห็นจะยุ่งยากเลย’
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบร้อนวิ่งออกจากห้อง ทว่าศิษย์พี่ได้เดินจากไปแล้ว โคมไฟในหอคัมภีร์ยังสว่างไสว ประตูกลับลงกลอนเอาไว้ ข้างในนั้นเก็บบันทึกเรื่องลี้ลับและคัมภีร์ตำราหลากหลายหมวดหมู่ของลัทธิเต๋า ปกติเวลาศิษย์พี่พบเจอปัญหาที่ยากเกินทำความเข้าใจ ก็จะค้นหาคำตอบเจอจากในห้องนั้นเสมอ
ศิษย์พี่กลับมาถึงอารามกลางดึกก็พลิกอ่านตำรา คิดว่าระหว่างสอบสวนจวงมู่ต้องพบปัญหาน่าปวดเศียรเวียนเกล้าแน่
เด็กชายทั้งสองไขกลอนเข้าไปในห้อง พบว่าบนชั้นหนังสือมีบันทึกเรื่องลี้ลับเล่มหนาที่สุดหายไปเล่มหนึ่งอย่างที่คาดการณ์ไว้
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาทำขนมซานชิง ก็ไม่วี่แววว่าศิษย์พี่จะย้อนกลับมาที่อาราม ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนอนในที่ว่าการของศาลต้าหลี่ หรือว่าทำคดีเสร็จแล้วก็ตรงกลับวังเฉิงอ๋องเลย
พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องโถงบุปผา ระหว่างทางเถิงอวี้อี้ถามปี้หลัวว่า “ท่านพ่อกินอาหารเช้าหรือยัง”
ปี้หลัวยิ้มหยอกเย้า “นายท่านนอนขี้เซาอย่างคุณหนูที่ใดกันเจ้าคะ ฟ้ายังไม่สาง กินอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปแล้ว”
เถิงอวี้อี้ครุ่นคิดในใจ ช่วงไม่กี่วันนี้ว่ากันตามหลักแล้วบิดาสมควรหยุดพักงาน กลับมาวิ่งวุ่นแต่เช้าตรู่เช่นนี้จะต้องเป็นเพราะเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนนี้แน่ ไม่มีอะไรจะดียิ่งไปกว่านี้แล้ว บิดาลงมือทำสิ่งใดล้วนฉับไวและเฉียบขาดเสมอมา เร่งวางแผนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ พวกนางสองพ่อลูกก็คงไม่ต้องถูกลอบทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างเมื่อชาติก่อนแล้ว
ตอนกินอาหารเช้าเถิงอวี้อี้เจริญอาหารเป็นพิเศษ กินขนมซานชิงไปหลายชิ้นติดต่อกันในคราวเดียว
ตู้ถิงหลันก็กล่าวชื่นชมขนมชนิดนี้ไม่ขาดปาก
เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถูกชมจนรู้สึกขัดเขินไปหมด เกาศีรษะแกรกๆ พลางถามขึ้นว่า “เมื่อคืนไม่มีภูตผีปีศาจมารบกวนถึงในจวนแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่มีแล้ว เมื่อคืนข้ากับพี่สาวนอนหลับสนิทเลย” เถิงอวี้อี้ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขบคิดชั่วครู่ก็สั่งให้บ่าวไพร่ถอยออกไป “ตอนเช้าเจอศิษย์พี่ของพวกท่นหรือยัง จวงมู่ยอมพูดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงถูกหลอกล่อให้ไปอยู่ที่ตรอกด้านหลังร้านเครื่องหอม”
เจวี๋ยเซิ่งส่ายหน้า “ตอนเช้าไม่ได้เจอศิษย์พี่เลย แต่เมื่อคืนศิษย์พี่กลับมาที่อารามครั้งหนึ่ง เพียงมาหยิบบันทึกเรื่องลี้ลับในอารามเล่มหนึ่งก็ออกไปแล้ว ยังไม่ได้ดื่มน้ำชาสักอึกด้วยซ้ำ คงจะสอบสวนได้ไม่ราบรื่นเท่าไร ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนศิษย์พี่คงไปจับคนร้ายตัวจริงแล้ว ดึกดื่นถึงเพียงนั้นไม่ทางกลับมาที่อารามหรอก”
เถิงอวี้อี้เอ่ยถาม “จวงมู่ยังไม่ยอมพูดอีกหรือ”
ชี่จื้อยกมือเท้าคางอย่างนึกฉงน “หากข้าเป็นจวงมู่ ทั้งที่รู้ว่าตนเองถูกคนร้ายตัวจริงโยนความผิดมาให้ เมื่อวานตอนถูกจับกุมคงสารภาพทุกอย่างที่รู้ออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว เหตุใดถึงยังเก็บเงียบอีกนะ”
ตู้ถิงหลันเอ่ยแทรกขึ้นมา “คนผู้นี้จะต้องเกรงกลัวเรื่องอะไรอยู่แน่”
เจวี๋ยเซิ่งก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “เขาถูกศาลต้าหลี่จับกุมแล้ว หากไม่ยอมอธิบายจะต้องถูกตัดสินโทษสถานหนักแน่ ถึงอย่างไรก็เป็นตายเหมือนกัน แล้วเหตุใดต้องแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายแทนคนอื่นด้วย”
เถิงอวี้อี้ใคร่ครวญพลางเอ่ย “เดิมทีจวงมู่เป็นพวกไม่กลัวตายอยู่แล้ว คำว่า ‘ตาย’ บางทีอาจไม่มากพอที่จะทำให้เขากลัวได้ สำหรับเขาแล้วยังมีเภทภัยที่น่ากลัวยิ่งกว่า ‘ตาย’ ”
คนร่วมโต๊ะทั้งสามคนต่างตะลึงงัน