ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 61
เมื่อเดินมาถึงกลางป่าดอกท้อคุณหนูทั้งหลายเดินเล่นชมดอกไม้พลางพูดคุยอย่างสนุกสนานรื่นรมย์ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยผ่านป่า ผ้าคลุมไหล่ที่คล้องพาดข้อพับแขนเด็กสาวแต่ละคนปลิวไสวไปในอากาศ สีสันงดงามสดใสเคียงคู่กลมกลืนกับแสงยามฤดูไม้ผลิ เทียบกับดอกท้อบนปลายกิ่งก้านยังเด่นสะดุดตามากกว่า
มีเด็กสาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ว่ากันว่าในอารามนักพรตหญิงอวี้เจินซุกซ่อนกลไกลี้ลับเอาไว้ ยามเผชิญกับภัยสงครามหรือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่สามารถอาศัยกลไกในอารามหลบหนีไปได้ แต่ข้ามาที่นี่ตั้งหลายหนแล้วยังมองหาอะไรไม่เจอเลย”
“อย่าลืมสิว่าอารามแห่งนี้เป็นอารามที่องค์หญิงอวี้เจินมีบัญชาให้ผู้สูงส่งของลัทธิเต๋ากว่าร้อยคนสร้างขึ้นเลยนะ หากมีใครเข้ามาเที่ยวชมแล้วมองเห็นช่องโหว่ได้ง่ายๆ มิเท่ากับว่าความทุ่มเทของผู้สูงส่งเหล่านั้นสูญเปล่าไปหมดหรอกหรือ”
อู่ฉี่เลือกตำแหน่งหนึ่งซึ่งเหมาะแก่การชมดอกไม้ที่สุด ค่อยสั่งการให้บรรดาสาวใช้กางกระโจมผ้าไหมสีสดและจัดวางเบาะที่นั่ง พลันได้ยินเจิ้งซวงอิ๋นเอ่ยว่า “เมื่อวานเจอเรื่องเช่นนั้นที่ตลาดตะวันตก ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่มาแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังมาจนได้ แต่วันนี้สีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานเยอะเลย”
เผิงฮวาเยวี่ยน้ำเสียงประหม่ากว่าเดิมเล็กน้อย “เมื่อวานทำให้พวกเจ้าต้องเห็นเรื่องน่าอายแล้ว พวกเรากับเสี่ยวเจียงซื่อฮูหยินของหรงอันป๋อซื่อจื่อนับว่าเป็นญาติห่างๆ ต่างแซ่สกุล ในอดีตเวลาพี่เจียงเจอหน้าท่านแม่ข้ามักจะเรียกว่าท่านน้าเสมอ หลายปีมานี้พวกเราอาศัยอยู่ในเขตไหวซีจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กับสกุลเจียงแล้ว แต่ไมตรีจิตระหว่างญาติพี่น้องยังอยู่ ดังนั้นพอได้ยินว่าพี่เจียงเกิดเรื่องพวกเราถึงได้ตกใจจนหมดสติไป”
เผิงจิ่นซิ่วทำปากยื่นพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ข้าพอได้ยินว่าพี่เจียงเกิดเรื่องนางร้องไห้เสียใจแทบแย่ หากไม่ใช่เพราะศพของพี่เจียงยังเก็บอยู่ที่ศาลต้าหลี่ คิดว่าวันนี้ต้องพาพวกเราไปไว้ร่วมอาลัยนางที่จวนหรงอันป๋อแล้ว ท่านแม่กลัวว่าพวกเราจะพลอยเสียใจไปด้วยถึงได้บังคับให้ออกมาเดินเที่ยว ไม่อย่างนั้นข้ากับพี่สาวคงได้อยู่ในจวนเป็นเพื่อนท่านแม่”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” พวกเจิ้งซวงอิ๋นพากันถอนหายใจด้วยความสงสาร
คุณหนูแซ่หลินผู้หนึ่งกล่าวอย่างหวาดหวั่นใจ “พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อตอนเช้าตรู่พลเฝ้าระวังมาสอบถามถึงจวนข้าว่ามีสตรีที่กำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ต่อมาพอถามพี่ชายถึงรู้ว่าระยะนี้ฉางอันเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องผ่าท้องชิงทารกเช่นนี้สองสามคดีแล้ว”
“ที่สำคัญผู้ตายเป็นสตรีที่ตั้งครรภ์ทั้งหมดด้วย” คุณหนูอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ “เมื่อคืนพลเฝ้าระวังก็มาสอบถามที่จวนของพวกเราเช่นกัน บอกว่าหากในจวนมีสตรีตั้งครรภ์อยู่จะต้องรายงานทันที ทางการทำอย่างนี้เพราะกลัวว่าคนร้ายจะลงมือกับเหยื่อที่เป็นสตรีตั้งครรภ์อีกกระมัง”
เถิงอวี้อี้กับตู้ถิงหลันนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่เลือกแล้วเงยหน้าขึ้นมาพอดี จึงมองเห็นสองมือของต้วนชิงอิงขยุ้มผ้าคลุมไหล่แน่นจนข้อนิ้วมือเริ่มซีดขาว
คนรอบข้างก็สังเกตเห็นว่าต้วนชิงอิงท่าทางไม่ปกติ จึงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาว่า “ชิงอิง เจ้าไม่สบายหรือ”
ต้วนชิงอิงกุมหน้าอกแล้วพยักหน้า “คดีนี้ทำให้ตกใจเข้าแล้ว ข้าไม่เข้าใจเลย บนโลกนี้มีคนโหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้ได้อย่างไร”
ในตอนนี้เองบรรดาสาวใช้ก็ยกถ้วยแก้วใส่ผลอิงเถาสดราดนมหมักเดินเข้ามา
อู่ฉี่มองออกนานแล้วว่าทุกคนล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร จึงอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ปล่อยให้ท้องว่างประเดี๋ยวจะชมดอกไม้ไม่สนุก พวกเรามากินอะไรกันสักหน่อยเถอะ”
เถิงอวี้อี้ได้ยินคำพูดเมื่อครู่แล้ว ก็ใคร่ครวญว่าอารามนักพรตหญิงแห่งนี้ซุกซ่อนกลไกลี้ลับอะไรไว้กันแน่ อีกอย่างตอนเช้ากินขนมซานชิงไปมาก จึงกินอะไรไม่ลงไปชั่วขณะ นางเหลียวซ้ายแลขวามองเห็นชิงช้าอยู่ด้านข้าง ก็ตัดสินใจได้ทันใด ลุกขึ้นเดินไปถึงตรงหน้าชิงช้า ก่อนคว้าเชือกแขวนสองฝั่งแล้วนั่งลง เพียงเขย่งปลายเท้าเบาๆ ชิงช้าก็พานางล่องลอยไปกับสายลมฤดูในใบไม้ผลิ
วันนี้นางสวมกระโปรงผ้าไหมเนื้อละเอียดจีบรอบปักลายดอกบัวสีฟ้านวล ข้อพับแขนคล้องพันผ้าคลุมไหล่สีฟ้าอมเขียวเอาไว้ สีสันอ่อนจางทั้งสองจับคู่รวมกันเป็นความนุ่มนวลกระจ่างตาที่น่าอัศจรรย์ใจ เด็กสาวแกว่งไกวร่างอยู่ท่ามกลางเงาบุปผา เผยโฉมเฉิดฉายดั่งดอกบัวกลางน้ำ
ทุกคนเห็นนางงดงามพราวเสน่ห์เป็นพิเศษ จึงอดถอนหายใจชื่นชมไม่ได้ “ช่างเป็นคนงามละมุนละไมเสียจริง คุณหนูเถิง ผ้าที่ใช้ตัดเสื้อผ้าชุดนี้ของท่านไม่ถือว่าเลอค่าหายาก แต่สีสันที่ใช้กับฝีเข็มมักพิเศษกว่าคนอื่นเสมอ”
เถิงอวี้อี้เอ่ยยิ้มๆ “หญิงปักผ้าหลายคนที่หยางโจวช่วยข้าวาดแบบลวดลาย หากพวกเจ้าชอบ ครั้งหน้าข้าจะนำภาพลายพวกนั้นมาให้ทุกคนดูนะ”
คุณหนูทั้งหลายเอ่ยหยอกเย้า “ไยต้องวุ่นวายปานนี้ แต่ละเดือนพวกเราจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ คุณหนูเถิงไม่ได้กลับฉางอันมาตั้งหลายปี ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าต้องชวนพวกเราไปเล่นสนุกที่จวนสกุลเถิงแล้ว”
ขณะเถิงอวี้อี้เตรียมเอ่ยตอบคำ อยู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งจ้องมองมา
นางชำเลืองเห็นทางหางตา แล้วรับปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คิดอยู่นานแล้วว่าจะเชิญทุกคนไปเล่นสนุกกันที่จวนข้า เอาไว้กลับไปข้าจะเขียนเทียบเชิญนะ”
นางกล่าวพลางแสร้งเหลือบตามองไปพอดี เห็นคุณหนูกลุ่มนั้นทางขวามือพูดคุยกันสนุกสนาน ประหนึ่งภาพเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตาของนาง
เถิงอวี้อี้เป็นยอดฝีมือด้านการไกวชิงช้าอยู่แล้ว นั่งไกวชิงช้าเฉยๆ รู้สึกว่ายังไม่สนุกถึงใจ จึงยืนขึ้นตรงกลางแผ่นไม้รองนั่งแล้วให้ตู้ถิงหลันช่วย เพิ่งออกแรงผลักไม่เท่าไรก็ไกวชิงช้าลอยสูงขึ้นไปในอากาศ การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของนางทำให้ปิ่นระย้าไข่มุกคู่นั้นสั่นไหวแกว่งไปแกว่งมาไม่หยุดหย่อน สะท้อนเงาของประกายแสงเจิดจ้าสองสายกระทบพวงแก้มขาวผุดผ่องของนาง
ทุกคนยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจละสายตา หลี่ไหวกู้คลี่ยิ้มหวานยามรับขลุ่ยเลาหนึ่งมาจากมือสาวใช้ ก่อนยกขลุ่ยขึ้นชิดริมฝีปากและเป่าบรรเลง เสียงขลุ่ยท่วงทำนองทุ้มนุ่มซับซ้อน พริบตาเดียวก็ดึงความสนใจของทุกคนไปเสียแล้ว
เจิ้งซวงอิ๋นฟังไปสองสามท่อนก็ผงกศีรษะ “ผู้คนกล่าวขานว่าเสียงขลุ่ยของสองพ่อลูกสกุลไป๋เลิศล้ำเหนือใครในแผ่นดิน ข้าว่าฝีมือการเป่าขลุ่ยของหลี่ซานเหนียงก็ไม่ด้อยไปกว่าคนสกุลไป๋เลย”
เจิ้งซวงอิ๋นแตกฉานด้านการดนตรีเป็นอย่างยิ่ง ค่อนข้างหยิ่งทะนงมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งนางยังมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าหลี่ไหวกู้เป่าขลุ่ยได้โดดเด่นเพียงใด ทุกคนจึงเงี่ยหูฟังเงียบๆ ด้วยจิตใจจดจ่อมีสมาธิกว่าเดิม
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงพิณไพเราะเสนาะหูดังมาจากด้านหลังกำแพงห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงพิณฟังดูแล้วเอ้อระเหยไร้กฎเกณฑ์ กลับกดข่มเสียงขลุ่ยไปอย่างไม่ตั้งใจ
ดูเหมือนหลี่ไหวกู้จะมีใจสู้ทว่าไร้กำลัง ไม่นานก็วางขลุ่ยลง “นี่คือ…”
คุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายช้อนสายตามองไปทางกำแพงทิศนั้น ก่อนเอ่ยตอบสีหน้าแดงระเรื่อ “อ๋า เสียงขลุ่ยไปรบกวนจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่ อย่าลืมสิว่าหลังกำแพงทิศตะวันตกก็คือวังจวิ้นอ๋อง บางทีคงจะรบกวนการพักผ่อนของจวิ้นอ๋องเข้าแล้ว เขาถึงได้ดีดพิณเป็นสัญญาณเตือน…”
ประจวบเหมาะว่ามีนักพรตหญิงอาวุโสหลายคนเดินมาส่งน้ำชา ได้ยินเข้าก็ตอบยิ้มๆ “ไม่เป็นไรเลย พวกเราก็เคาะเกราะไม้* สวดมนต์ เคาะระฆังในอารามเป็นประจำ จวิ้นอ๋องนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีนัก ไม่มีทางขุ่นเคืองเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้เด็ดขาด ได้ยินว่าวันนี้จวิ้นอ๋องต้อนรับสหายจากต่างแดนอยู่ในจวน องค์รัชทายาทก็มาด้วย เสียงพิณนี้คงจะบรรเลงให้แขกเหรื่อฟัง”
ใบหน้ากลมเกลี้ยงของเผิงจิ่นซิ่วแดงก่ำ “ตอนข้ายังอยู่ที่เขตไหวซี ก็ได้ยินว่าจวิ้นอ๋องเชี่ยวชาญด้านทำนองเสียงสัมผัส วันนี้ได้ฟังเสียงพิณของเขา เห็นได้ชัดว่าสมคำเล่าลือโดยแท้”