เถิงอวี้อี้ชักเท้าวิ่งหนีทันที ได้แต่แค้นใจว่านางสวมกระโปรงหรูฉวิน อีกทั้งฝีมือไม่รู้ว่าย่ำแย่กว่าลิ่นเฉิงโย่วเท่าใด ถึงแม้จะพยายามสุดชีวิตแล้ว กลับยังตามฝีเท้าลิ่นเฉิงโย่วไม่ทันอยู่ดี
พอได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็หายใจเหนื่อยหอบ ตรงหน้าเห็นดาวสีทองเปล่งแสงระยิบระยับไม่ขาดสาย ทันใดนั้นพลันสัมผัสได้ว่าร่างกายลอยขึ้นไปในอากาศ ลิ่นเฉิงโย่วกระชากโซ่สีเงินดึงนางไปอยู่ตรงหน้าตนเอง แล้วโอบกอดแนบอกพร้อมเร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปข้างหน้า
หัวใจเถิงอวี้อี้เต้นแรงกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าขณะนี้หนีเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า ไหนเลยจะมีเวลาขบคิดถึงความรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้ นางได้แต่ปิดเปลือกตาแน่นสนิท ลอบภาวนาขอให้ลิ่นเฉิงโย่ววิ่งเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเสียงดังตุ้บ ดูเหมือนจะมีของบางอย่างบนศีรษะร่วงลงพื้น
ลิ่นเฉิงโย่วก็ได้ยินชัดเจนเช่นกัน “เจ้าทำอะไรหล่นลงไป”
“ปิ่นระย้า แต่ไม่เป็นไร ซื่อจื่อ หนีเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด!”
แม้จะเอ่ยปากตอบไปอย่างนี้ ทว่าความจริงหัวใจกลับเจ็บปวดดุจมีดกรีดเฉือน ในบรรดาเครื่องประดับเหล่านั้นของนางปิ่นระย้าไข่มุกคู่นี้ไม่นับเป็นของล้ำค่าหายากอันใด แต่กลับเป็นสินเดิมที่มารดาคอยเติมให้นางตอนยังมีชีวิตอยู่ จำได้ว่าตอนนั้นมารดาอุ้มนางมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องประทินโฉม แล้วกล่าวกับนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ‘เอาไว้อาอวี้ของพวกเราโตแล้ว ก็จะได้ใช้ของชิ้นเล็กๆ พวกนี้ประดับศีรษะแล้ว’ สีหน้าอ่อนโยนนั้นนางไม่มีวันลืมเลือน หลังมารดาจากไปนางก็เก็บปิ่นระย้าไข่มุกคู่นี้ไว้ในกล่องเครื่องประดับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยตัดใจเอามาใช้ได้เลย
วันนี้กลับฉุกใจคิดลองใช้ประดับผมสักหน คาดไม่ถึงว่าจะมาร่วงหล่นในสถานการณ์อย่างนี้
เจ้าไน่จ้งสมควรตายนัก!
ลิ่นเฉิงโย่วถึงจะเอ่ยปากถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง แต่ก็ไม่มีเวลาหันหลังกลับไปเก็บอยู่ดี เขาใช้วิชาตัวเบาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตมาสักพัก ก็มองเห็นทางออกอยู่ตรงหน้า แต่ในตอนนี้เองกลับมีน้ำเสียงอบอุ่นก้องกังวานดังมาจากด้านหน้า “สีกาท่านนี้ ขอน้ำให้อาตมาดื่มแล้วหรือยัง”
ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลัน มองเห็นภิกษุใบหน้าขาวผ่องรูปหนึ่งโบกพัดสานพลางเดินเยื้องย่างเนิบช้ามาจากฝั่งตำหนักใหญ่
สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ฝ่าซือท่านนี้ ข้ามองแล้วไม่คุ้นหน้าเลย ไม่ทราบว่ามาจากที่ใดหรือ”
* อักษรเว้า (凹) และอักษรนูน (凸)
* ซวีผูถี หรือพระสุภูติเถระ เป็นหนึ่งในบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้า มีความสามารถพิเศษในการเรียกฝนให้ตกลงมาได้อย่างอัศจรรย์
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนตุลาคม 66)