บทที่ 1
อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่องหอมลงในเตาพกที่ถืออยู่ในมือสักหยิบมือ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ รวยรินหรือว่ากลิ่นบุปผาฟุ้งตลบล้วนชวนให้จิตใจสดชื่นปลอดโปร่ง
หากจะถามไถ่ว่าร้านเครื่องหอมเลื่องชื่อแห่งแคว้นต้าเว่ยคือที่ใด แน่นอนว่าต้องเป็นร้านเครื่องหอมของเมืองหลวงนามว่า…ร้านโส่วเว่ย
ร้านนี้ปักหลักอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคง มิเพียงพึ่งพาเครื่องหอมล้ำค่าหายาก ยังมีเคล็ดลับการปรุงเครื่องหอมที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก หลายปีมานี้สกุลซูเจ้าของร้านโส่วเว่ยอาศัยเครื่องหอมซึ่งไม่อาจลอกเลียนแบบหรือทำได้เหนือกว่าสร้างความมั่งคั่งจนมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้อย่างแท้จริง
ใครต่อใครมักกล่าวว่าทรัพย์สินและเกียรติยศเป็นของคู่กันมาแต่โบราณ กระนั้นแม้สกุลซูจะมั่งมีล้นฟ้า ครอบครองสมบัติพัสถานกองเป็นภูเขา ทว่าถึงที่สุดก็เป็นเพียงพ่อค้า เทียบกับผู้มีอำนาจสูงศักดิ์แล้วยังห่างชั้นกันไกลนัก
จวบจนซูหงเหมิงนายท่านใหญ่สกุลซูได้รับตำแหน่งในกองการค้าหลวงของเมืองหลวง เรียกว่าเหยียดปลายนิ้วเท้าไปแตะเฉียดธรณีประตูจวนขุนนางได้ในที่สุด นับเป็นเรื่องน่ายินดีเจียนคลั่งโดยแท้
กองการค้าหลวงดูแลการค้าต่างแดนของแคว้นต้าเว่ยโดยเฉพาะ นายท่านใหญ่สกุลซูได้เข้าไปอยู่ในกองการค้าทางทะเลภายใต้สังกัดกองนี้และมีหน้าที่ดูแลการซื้อขายวัตถุดิบเครื่องหอมโดยเฉพาะ
แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยประจำห้องคลังเครื่องหอมสมุนไพรที่ได้รับเบี้ยหวัดแสนน้อยนิด แต่สำหรับสกุลซูแล้วนี่เป็นดั่งบันไดสู่สวรรค์ของบุตรชายบุตรสาวในภายภาคหน้า
หลังจากได้เป็นขุนนาง นายท่านใหญ่สกุลซูตัดสินใจพาคนทั้งครอบครัวไปยังศาลบรรพชนบ้านเดิมที่เมืองอิ้นโจว โขกศีรษะขอบคุณบรรพบุรุษที่สั่งสมบุญกุศลหนุนนำบุตรหลาน
คนสกุลซูเตรียมตัวลงเรือกันตอนต้นเดือนสิบสอง นายท่านใหญ่สกุลซูยังตั้งใจจะฉลองวันปีใหม่นี้ที่เรือนต้นตระกูลที่บ้านเดิมแล้วกลับเมืองหลวง เพื่อมิให้ขุนนางคนใหม่เริ่มเข้าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า
คนอื่นๆ ต่างจัดสัมภาระกันด้วยสีหน้าปีติยินดี ยกเว้นบุตรสาวคนรองซึ่งเกิดจากภรรยาเอกของนายท่านใหญ่สกุลซูที่ดูเบื่อหน่าย ไม่ค่อยเบิกบานใจเท่าไร นางทำหน้าบึ้งตึงมองดูพวกสาวใช้จัดเก็บเสื้อผ้าของใช้ให้
สี่เชวี่ยสาวใช้ประจำตัวของซูไฉ่เจียนรู้จักดูสีหน้าคน เห็นคุณหนูรองมีท่าทางห่อเหี่ยวเหมือนบุปผาขาดน้ำเช่นนี้ก็เดาความในใจของนางได้ทันใด
“คุณหนูรอง ท่านไม่อยากพบ ‘นาง’ ถึงได้ไม่พอใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ซูไฉ่เจียนดึงทึ้งแบบปักลายในมือพลางเหลือบตามองสาวใช้อย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน “เจ้าพูดมากนัก ควรตั้งชื่อให้เจ้าว่าหูลู่ พอมีปากเล็กๆ ข้าจะได้ไม่ต้องรำคาญหู”
สี่เชวี่ยฟังแล้วก็รู้ว่าตนเองเดาไม่ผิด นางพูดพลางยิ้มประจบทันควัน “หากบ่าวกลายเป็นคนใบ้ เช่นนั้นท่านจะไม่หงอยเหงาแย่หรือไร…คุณหนูรองเป็นกังวลเกินไป บ่าวถามจากบ่าวรับใช้ที่เคยส่งของไปให้บ้านเดิมแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ แม้ว่า ‘นาง’ จะถูกส่งไปที่นั่น แต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนหลังเก่า ได้ยินว่าในหนึ่งปีจะไปศึกษาพระธรรมคัมภีร์กับแม่ชีเฒ่าที่อารามบนเขาเป็นเวลาหลายเดือน ต่อให้ท่านกลับไปก็ไม่แน่ว่าจะได้พบนางนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ใบหน้าซูไฉ่เจียนก็เผยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งวางใจและแฝงความเสียดายอยู่ในที “…นี่นางจะออกบวชหรือ ไยต้องทำถึงขั้นนั้นด้วยเล่า ใช่ว่าสกุลซูเราจะมีฐานะอัตคัดขัดสน ถึงนางไม่ได้ออกเรือน จะเลี้ยงดูนางไปชั่วชีวิตก็ย่อมได้…” แต่จู่ๆ นางก็วกกลับไปพูดเรื่องเดิม โน้มกายถามย้ำอีกครา “หากข้าไปที่นั่นแล้วจะไม่ต้องพบนางบ่อยๆ จริงหรือ”
สี่เชวี่ยเป็นคนหัวไว รีบตอบว่า “วางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวจะกำชับผู้ดูแลเรือนหลังเก่าให้เรียบร้อยเอง รับรองว่าคุณหนูพำนักได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพบเห็นคนน่ารำคาญใจ อีกอย่างมีฮูหยินอยู่ทั้งคน ฮูหยินย่อมใคร่ครวญอย่างรอบคอบแทนคุณหนูเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดเรื่องการแต่งงานของคุณหนูกับคุณชายลู่ก็ตกลงกันเป็นที่แน่นอน ทั้งสองตระกูลแลกเปลี่ยนชะตาแปดอักษร* กับเทียบหมั้นหมายแล้ว ทั้งยังอัญเชิญไปวางในศาลบรรพชนของแต่ละตระกูลมานานนับเดือนเศษ สกุลซูกับสกุลลู่ล้วนราบรื่นสมหวังทุกสิ่งและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น! นี่คือคู่สร้างคู่สม ใครจะมีปัญญาทำอะไรได้เล่า คุณหนูอย่าสนใจคนอื่นเลยเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวบนใบหน้าซูไฉ่เจียนสลายหายไป นางนึกถึงลู่ซื่อคู่หมั้นหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยแล้วก็ยิ่งปลาบปลื้มเหลือจะกล่าว ชั่วขณะนั้นก็ลืมเลือนความวิตกกังวลในใจไปจนหมดสิ้น
เพียงแต่สาวใช้นอกห้องคนหนึ่งที่เงี่ยหูฟังบทสนทนาสัพเพเหระในห้องกลับงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก