บทที่ 8 ฝันคืน
พอตี้อีชิวจากไปในห้องก็จมสู่ความเงียบงัน
หวงหร่างเตรียมตัวผ่านค่ำคืนที่เหน็บหนาวนี้ตามลำพังแล้ว ทันใดนั้นข้างหูก็ได้ยินเสียงร่ำร้องของคนเป็นพันเป็นหมื่น เข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกบนศีรษะนางเหมือนจะร้อนลวก ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเข็มเหล็กร้อนสีแดงฉาน
พลังขุมหนึ่งฉุดดึงสติรับรู้ของนาง คล้ายต้องการจะฉีกทึ้งนาง หวงหร่างมองเห็นแต่ความมืดมนไร้ที่สิ้นสุด ความมืดถาโถมเข้ามา ท่ามกลางความมืดมีใบหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่มากมาย ประเดี๋ยวผุดขึ้นมาประเดี๋ยวเลือนรางจางหายไป
หวงหร่างอยากจะร้องตะโกน อยากจะดิ้นรน แต่นางเปล่งเสียงไม่ออก ร่างกายก็ไม่ฟังคำสั่งโดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณปั่นป่วนอยู่ในร่าง คล้ายอยากจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของร่างกาย
เจ็บ ความเจ็บปวดเหมือนถูกฉีกทึ้งร่างโถมเข้าใส่นาง ความมืดมนที่เกิดจากเข็มเกี่ยววิญญาณตรึงกระดูกประหนึ่งวิญญาณอาฆาตและผีร้ายนับไม่ถ้วน ดวงตาของพวกมันแดงฉานดั่งโลหิต กางกรงเล็บอย่างดุดัน แต่ในปากกลับเปล่งเสียงคร่ำครวญ ทั้งโกรธแค้นและตกใจหวาดหวั่น พลังอันแข็งแกร่งดุจมหาสมุทรโถมทะลักกวาดม้วนเข้ามาหานางอย่างฉับพลัน
หวงหร่างจมอยู่ในนั้น เสียงนับไม่ถ้วนร่ำร้องอยู่ในห้วงสมองของนางไม่หยุด
ไม่ จะคลุ้มคลั่งไม่ได้ หาไม่แล้วการยืนหยัดสิบปีจะทำไปเพื่ออะไร นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ยอมหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด เซี่ยหลิงปี้ยังมีชีวิตอยู่อย่างปกติ เซี่ยหลิงปี้…นางท่องชื่อนี้พลางประคับประคองสติของตนเองไว้ท่ามกลางความมืดมิดดั่งขุมนรก
…เซี่ยหลิงปี้ ต้องมีสักวัน ข้าจะคืนความเจ็บปวดของข้า ความโกรธแค้นของข้า ความหวาดหวั่นของข้ากลับไปให้เจ้าทั้งหมด
ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าข้าหวงหร่างเป็นคนเช่นไร
รอบด้านพายุฝนโหมกระหน่ำ ปณิธานของนางดุจดังแสงเทียนริบหรี่ดวงหนึ่ง
หวงหร่างไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น! เหมือนนางถูกลากดึงจนหลุดออกจากร่างกะทันหัน ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป มิใช่ห้องนอนของตี้อีชิวอีก
รอบด้านเป็นหิมะที่ตกหนัก บนพื้นหิมะมีเจดีย์สูงสีทองตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันคล้ายยักษ์ตัวโตที่เข้มงวดเย็นชาตนหนึ่งกำลังหลุบตามองนางด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ หวงหร่างเดินอ้อมเจดีย์ เห็นตรงฐานเจดีย์มีบันไดแปดด้าน ส่วนเจดีย์นั้นสูงเก้าชั้น
นี่คือที่ใด เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้าฝันไปหรือ
หวงหร่างเดินไปทีละก้าวจนกระทั่งถึงฐานเจดีย์ บนยอดเจดีย์มีคนผู้หนึ่งในชุดคลุมนักพรตสีขาวสลับดำยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่ระยะห่างไกลเกินไปทำให้หวงหร่างมองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน เขาจับจ้องนางคล้ายเทพที่หลุบตามองมดตัวหนึ่ง
“เด็กที่เฉลียวฉลาดอย่างเจ้าคงรู้กระมังว่าต้องทำเช่นไร” เสียงของเขาก็เหมือนคืนหิมะตกนี้ ทั้งเยียบเย็นและแผ่วเบา เขาหยิบของชิ้นหนึ่งจากในแขนเสื้อโยนลงมา ของชิ้นนั้นร่วงตกลงเบื้องหน้าหวงหร่างพอดี
หวงหร่างหยิบขึ้นมาก็พบว่าเป็น…เข็มใบชา เล่มหนึ่ง เข็มใบชานี้ดั่งแก้วแวววาว ดุจหยกน้ำแข็ง ด้ามเข็มสลักลาย ส่วนหัวแหลมคม ทำจากวัสดุที่แข็งแรงยิ่ง มิใช่ของธรรมดาสามัญ
“จงหวงแหนเวลา ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ” คนบนยอดเจดีย์สะบัดแขนเสื้อ “เมื่อน้ำแข็งละลายย่อมตื่นจากฝัน เวลาล้ำค่านัก”
หมายความว่าอะไร หวงหร่างอยากจะถาม แต่เจดีย์เก้าชั้นเบื้องหน้าตั้งตระหง่านน่าเกรงขาม คนบนยอดเจดีย์ยิ่งเหมือนเทพมาเยือนบนโลกมนุษย์ นางเป็นเพียงภูตดินตัวเล็กๆ เท่านั้น มิอาจเอ่ยอะไรได้
นางกำเข็มน้ำแข็งแน่น อัสนีสายหนึ่งผ่าลงมาจากเจดีย์สูงกะทันหัน รัศมีหมื่นสายตกกระจายมาที่นาง แสงสีขาวตัดสลับไปมาตรงหน้า ภาพที่เห็นพลันแปลกประหลาด!
หวงหร่างใช้มือบดบังแสงอันแรงกล้าเบื้องหน้า รอจนมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง นางก็ยืนอยู่ข้างศาลาสามมุมหลังน้อยเสียแล้ว ในศาลาน้อยยังมีอาหารและขนมประณีตวางอยู่หลายอย่าง ห่างออกไปไม่กี่ก้าวเป็นสระน้ำ ริมสระปลูกเหมยต้นหนึ่งไว้ แต่ยามนี้ไร้ใบไร้ดอก แลดูเงียบเหงาอ้างว้าง
…นั่นคือเนี่ยนจวินอันนั่นเอง
หวงหร่างจิตใจสั่นสะเทือน สถานที่แห่งนี้นางคุ้นเคยอย่างยิ่ง เพราะต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ก้อนหินและสายน้ำทั้งหมดของที่นี่ล้วนเกิดจากฝีมือนาง นี่คือหอฉีลู่ในสำนักเซียนอวี้หู หลังจากแต่งงานกับเซี่ยหงเฉิน นางก็พำนักอยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปีแล้ว
และบัดนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือเซี่ยหงเฉิน หวงหร่างสติรับรู้มึนงง ในความพร่าเลือนนางได้ยินเสียงตนเองพูดออกไป