เซี่ยซูหัวเราะออกมา “ใครว่าล่ะ เมื่อวานฝ่าบาททรงดื่มน้ำจัณฑ์ไปมาก วันนี้จึงงดเข้าเฝ้ายามเช้า ข้ายังคิดว่ามีแต่จวนอัครเสนาบดีที่ไม่ได้รับแจ้งเสียอีก ไม่คิดว่าแม้แต่จวนต้าซือหม่าก็ไม่ทราบเรื่องด้วย”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” สีหน้าเว่ยอี้จือเผยว่าเพิ่งรู้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องกลับทางเดียวกับท่านแล้ว”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น” เซี่ยซูปล่อยม่านลง นางหันไปยิ้มกับมู่ไป๋แล้วเอ่ยว่า “ช่างรู้จักวางตัวเสียจริง คงกลัวว่าข้าจะนึกชิงชังฝ่าบาท จึงแสร้งทำเป็นมาที่นี่เช่นนี้ เพื่อพิสูจน์ว่าฝ่าบาททรงไม่มีเจตนาจะเล่นงานข้า”
มู่ไป๋ทำเสียงอาแล้วเอ่ยว่า “บ่าวก็ยังคิดว่าอู่หลิงอ๋องไม่ได้รับแจ้งจริงๆ”
“ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่แจ้ง ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วราชสำนักก็ยังต้องแจ้งเขา” เซี่ยซูลูบศีรษะมู่ไป๋ด้วยความเอ็นดู “เจ้าเป็นเด็กดีไร้เดียงสาเสียจริง ต้องรักษาข้อดีนี้ไว้ให้ดีเล่า”
“…”
ยามกลางวสันตฤดู เวลายามเช้า รถม้าอันหรูหราของจวนอัครเสนาบดีกับรถม้าสามัญของอู่หลิงอ๋องเคลื่อนเคียงกันมาบนถนนใหญ่กลางเมือง เรียกความสนใจของผู้คนให้หันมามองได้ในทันที
มู่ไป๋เบ้ปาก “ไร้มารยาทสิ้นดี ต่อให้เป็นจวิ้นอ๋อง และต้าซือหม่า แต่ก็ยังต่ำกว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีของคุณชายอยู่หนึ่งขั้น จะมาเคลื่อนเคียงกันเช่นนี้ได้อย่างไร”
เซี่ยซูโบกพัดพลางหัวเราะ
นี่ก็คือความเจ้าเล่ห์ของอู่หลิงอ๋อง ถ้าเขาเอาแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ จะทำให้นางยิ่งระมัดระวังเขา แต่หากจงใจเผยท่าทีอย่างโจ่งแจ้งก็จะทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ตอนนั้นที่เขาจงใจให้นางยืมเสื้อผ้าก็อาจทำไปเพื่อกลั่นแกล้งนาง ซึ่งมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วน
เซี่ยซูถอนหายใจ คนผู้นี้ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ดูแล้วรับมือได้ยากจริงๆ
ตอนนี้เอง จู่ๆ เว่ยอี้จือก็เรียกนาง เซี่ยซูเลิกม่านขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้ากระจ่างดุจไข่มุกของเขาอาบไล้แสงตะวัน รอยยิ้มที่ประดับมุมปากนั่นแทบจะละลายสายตาของผู้ที่พบเห็นเลยทีเดียว
มีเสียงร้องอุทานดังขึ้นในหมู่หญิงสาวที่อยู่รอบด้าน วันนั้นที่เว่ยอี้จือเข้าเมืองเขาไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมา วันนี้จู่ๆ ก็เลิกม่านขึ้นเช่นนี้ จะไม่ให้พวกนางกรีดร้องด้วยความปลาบปลื้มได้หรือ พอเซี่ยซูเยี่ยมหน้าออกมาหลังจากนั้น หญิงสาวอีกกลุ่มก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วย เหมือนประชันกับเสียงกรีดร้องเมื่อครู่
เซี่ยซูหันไปมองเว่ยอี้จือด้วยสีหน้าจนใจ “อู่หลิงอ๋อง จู่ๆ ก็เรียกข้าเช่นนี้ มีอะไรหรือ”
เว่ยอี้จือยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่อยากจะเห็นว่าท่านอัครเสนาบดีเป็นที่ปลาบปลื้มชื่นชมอย่างที่เขาเล่าลือกันมาหรือไม่ ดูแล้วก็คงจะจริง”
เซี่ยซูหรี่ตานิดๆ “ฟังจากที่ท่านพูดมา หรือว่าอู่หลิงอ๋องอยากจะแข่งประชันกับข้า?” นางใช้พัดแตะที่แก้มตนเองเบาๆ “เพื่อหน้าตานี้น่ะหรือ”
เว่ยอี้จือยังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงพลั่ก มีคนโยนผลแตงขึ้นไปบนรถของเซี่ยซู เห็นได้ชัดว่าหลงเสน่ห์นางโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“ดูสิ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย การแข่งขันก็เริ่มขึ้นแล้ว” เว่ยอี้จือยิ้มแล้วปล่อยม่านรถลง ทางนั้นก็มีคนโยนผลแตงขึ้นมาบนรถของเขาด้วยเช่นกัน
พักเดียวผู้คนก็ออกมายืนกันจนเต็มสองข้างทาง พากันโยนผลหมากรากไม้มาให้ ยืนรวมกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งซ้ายและขวา ประหนึ่งตั้งป้อมแยกกันอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่มู่ไป๋กับฝูเสวียนก็ยังถูกยกเอามาเปรียบเทียบด้วย
แรกเริ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ เริ่มจากถกเถียงกันเบาๆ ไปจนถึงตะคอกใส่กันเสียงดัง ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอัครเสนาบดีทั้งรูปงามและเก่งกาจไร้ผู้เทียมทาน อีกฝ่ายก็บอกว่าอู่หลิงอ๋องสง่างามหาใดเปรียบ ทั้งยังเก่งกาจในการรบทัพจับศึก ต่างฝ่ายต่างโอ้อวดคนที่ตนชื่นชอบเป็นการใหญ่
ทว่าคนที่น่ายินดีมากที่สุดเห็นจะเป็นพ่อค้าเร่ขายแตงซึ่งวางขายอยู่ข้างทาง คาดว่าคงค้าขายทำกำไรได้อักโขทีเดียว!
กระทั่งรถม้าแล่นอยู่บนถนนใหญ่มาได้ไกลแล้ว รถม้าของทั้งสองฝ่ายจึงหยุดลงที่ทางแยก ไม่ช้าก็กล่าวลากัน