เซี่ยซูเลิกม่านรถแล้วลงมา นางเดินไปยังข้างรถของเว่ยอี้จือแล้วเอ่ยว่า “เคยได้ยินมาว่าสกุลเว่ยแห่งเหอตงมีชายรูปงามหลายคน วันนี้ได้ร่วมเดินทางด้วยกัน ข้าก็เชื่อว่าจริง อู่หลิงอ๋องช่างรูปงามจนทั่วหล้าหวั่นไหว มีหรือจะไม่ได้รับผลแตงมากำนัลจนเต็มรถเช่นนี้”
เว่ยอี้จือก็ลงจากรถเช่นเดียวกัน ชุดขุนนางราชสำนักสีดำปักลายงดงามบนร่างเขายิ่งขับให้ตัวเขาดูสูงส่ง เขายิ้มแย้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “ท่านอัครเสนาบดีกล่าวผิดไปแล้ว ข้าน่ะหรือจะเทียบกับท่านได้”
ทั้งสองต่างผลัดกันเอ่ยชมไปมาอย่างเสแสร้ง ทันใดนั้นสีหน้าเซี่ยซูก็มีแววละอายพาดผ่าน นางกระแอมทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นบนรถท่านมีทับทิมกับหลี่จื่อ มากมาย พูดไปก็น่าอายนัก ของที่ข้าชอบมีน้อยอย่าง จำเพาะต้องมาชอบกินสองสิ่งนี้ ไม่ทราบว่า…”
เว่ยอี้จือหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นในทันที “ฝูเสวียน เลือกทับทิมกับหลี่จื่อบนรถไปใส่ไว้ในรถม้าอัครเสนาบดีด้วย”
ฝูเสวียนนิ่วหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนไปทำตามคำสั่งแต่โดยดี
ไม่นานนัก ชาวบ้านที่แอบตามพวกเขามาเงียบๆ ก็นำเรื่องที่เห็นนี้ไปขยายความต่อ
“นี่ พวกเจ้าอย่าเอาแต่ทะเลาะกันดีกว่า ยามนี้แม้แต่อู่หลิงอ๋องยังยกผลไม้ของตัวเองให้ท่านอัครเสนาบดีเลย นั่นก็หมายความว่าอู่หลิงอ๋องยอมยกธงยอมแพ้แล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ เช่นนั้นท่านอัครเสนาบดีของข้าก็เป็นชายงามอันดับหนึ่งของต้าจิ้นเรา!” ฝ่ายที่สนับสนุนเซี่ยซูพากันได้ใจ
“ไม่ใช่ๆๆ! ข้าไม่เชื่อหรอก!” ผู้ที่สนับสนุนเว่ยอี้จือถึงกับหมดสติไปสามคน
หลังจากทั้งสองฝ่ายบอกลากันอยู่พักใหญ่ ฝูเสวียนก็กระซิบถามเว่ยอี้จือผ่านม่านกั้น “จวิ้นอ๋อง เหตุใดท่านต้องอ่อนน้อมต่ออัครเสนาบดีด้วยเล่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขากำลังวางอุบายหาทางเอาชนะท่าน”
“ช่างเถอะ เดิมทีการแข่งขันนี้ข้าก็แสร้งเกริ่นขึ้นมาอย่างนั้นเอง ชายชาตรีหยัดยืนระหว่างฟ้าดิน ไยต้องอาศัยเพียงหน้าตา” ทันใดนั้นเว่ยอี้จือก็หัวเราะเบาๆ “แต่อัครเสนาบดีผู้นี้ก็น่าสนใจจริงๆ”
ฝ่ายเซี่ยซูที่ดูน่าสนใจผู้นี้ พอกลับถึงจวนแล้วก็นั่งอยู่หลังโต๊ะตั้งอกตั้งใจกินทับทิม มู่ไป๋แกะเปลือกทับทิมให้พลางพูดอย่างกระหยิ่มใจ “บ่าวก็ว่าอู่หลิงอ๋องผู้นั้นเทียบคุณชายไม่ได้หรอก”
เซี่ยซูเบ้ปากอย่างไม่แยแส “อย่าได้พูดจาโอ้อวดเกินไปนัก ในมือเขามีกำลังทหารมากมายเพียงนี้แต่ก็ยังได้รับความชื่นชมจากฝ่าบาทถึงขั้นนี้ได้ คุณชายอย่างข้านึกชื่นชมเขาจริงๆ”
มู่ไป๋กลอกตาใส่อย่างดูแคลน
ในลานบ้านจุดไฟแล้ว พ่อบ้านชราเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือ มองเมินกองเปลือกทับทิมราวกับไม่เห็นแล้วเอ่ยรายงาน “คุณชาย มีคนรับใช้จากจวนต้าซือหม่าเอาของมาส่งให้ท่านขอรับ”
“หืม?” เซี่ยซูลุกขึ้นจากหลังโต๊ะ “เอามาดูซิ”
มู่ไป๋รีบเดินไปรับที่ปากประตูทันที ที่แท้ก็เป็นชุดสีขาวชุดหนึ่ง เขาหยิบออกมาดูแล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “คุณชาย นี่เป็นชุดลำลองที่ท่านสวมไปงานเลี้ยงวันนั้นมิใช่หรือขอรับ”
เซี่ยซูรับมาดู ชุดของข้าจริงด้วย
ตอนนั้นพอนางเห็นชุดเนื้อผ้าธรรมดานี้ก็รู้แล้วว่าอู่หลิงอ๋องจงใจชูเรื่องชาติกำเนิดมาตั้งข้อรังเกียจนาง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนางจึงจงใจทิ้งชุดที่ขาดชุดนี้เอาไว้ ดูเผินๆ เหมือนลืมไว้ แต่ที่จริงเป็นการ ‘ให้ของขวัญตอบแทน’ ต่างหาก
เซี่ยซูหยิบชุดที่ตั้งใจใช้เป็นของขวัญตอบแทนขึ้นมาดูอย่างละเอียด แล้วก็ต้องตกตะลึง
ชายชุดที่ถูกกระบี่แทงจนขาดถูกเย็บติดกลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว ตรงที่ผ้าเย็บต่อกันใช้ดิ้นทองคำปักเป็นลวดลายไว้ ดูแล้วประณีตงดงามยิ่ง
“คนที่มาพูดอะไรบ้าง”
พ่อบ้านเอ่ย “คนที่มาบอกว่าอู่หลิงอ๋องกำชับด้วยตนเองว่าต้องส่งเสื้อผ้าให้ถึงมือคุณชาย ดิ้นทองที่ใช้ปักลายนี้เป็นสินสงครามที่ได้จากการสู้รบกับแคว้นถู่อวี้หุน ถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนของกำนัลของท่านก็แล้วกัน”
เซี่ยซูรู้สึกขบขันยิ่ง “แต่เขาไม่ได้รับของกำนัลของข้านี่”
“อู่หลิงอ๋องบอกว่านั่นเป็นลาภที่มิควรได้ แต่เสื้อผ้าชุดนี้เขาทำขาดเองกับมือ ย่อมต้องส่งคืนในสภาพสมบูรณ์”
เซี่ยซูพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เขามีความคิดละเอียดอ่อนมากทีเดียว”
นางทำเสียงจึ๊กจั๊กสองทีขณะนึกย้อนกลับไป งานเลี้ยงวันนั้น เว่ยอี้จือเริ่มต้นด้วยการทำให้นางขายหน้าก่อนแท้ๆ จู่ๆ ก็มามอบของกำนัลให้ตามหลังเสียอย่างนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใช้อุบายอย่างหนึ่ง ทว่าต่อมาก็ใช้อีกอุบายแล้ว ทำเอานางงุนงงสับสนว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ หากนางไม่ควบคุมสติของตนเองให้ดี นางอาจกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจนทำอะไรผิดพลาดได้
เซี่ยซูหยิบเสื้อผ้าส่งให้มู่ไป๋ นางเพิ่งจะนั่งลงกินทับทิมต่อ พ่อบ้านที่เพิ่งเดินออกไปก็กลับเข้ามาอีกครั้ง
“คุณชาย คุณชายขอรับ แย่แล้ว บ่าวชราเพิ่งทราบข่าวมาว่าคุณชายหร่านเกิดคิดสั้นเสียแล้วขอรับ!”
เซี่ยซูถึงกับสำลักทับทิมที่กินเข้าไป นางไอแค่กๆ อยู่นาน ได้แต่บ่นอุบในใจ คุณชายหร่านนี่ใครกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…