เมื่อมาถึงตำหนักทงกวงสถานที่จัดเลี้ยง ขันทีน้อยที่ทำหน้าที่ประกาศชื่อแขกเหรื่อก็แทบจะจำเซี่ยซูไม่ได้
เว่ยอี้จือสูงกว่าเซี่ยซูถึงครึ่งศีรษะ ทั้งไหล่ยังกว้างกว่าด้วย พอเสื้อผ้าชุดนี้สวมบนร่างนางแล้วจึงหลวมโพรก กลายเป็นทำให้นางยิ่งดูโดดเด่นกว่าเดิม ทว่าเนื้อผ้าและฝีมือการตัดเย็บนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเสื้อผ้าของชาวบ้านเท่านั้น
เซี่ยซูกลับไม่ได้ใส่ใจสายตาของรอบข้าง นางเพียงก้าวเดินอาดๆ เข้าไปในตำหนัก
การมาสายในครั้งนี้ ทำให้ขุนนางคนอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังตามหลังนางมาล้วนรุดมาถึงกันหมดแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันหาที่นั่ง เวลานี้เมื่อเห็นนางเข้ามาก็พากันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
เซี่ยซูไม่รีบร้อนเลยสักนิด นางยกมือข้างขวาขึ้นป้องปากแดงแล้วกระแอมเบาๆ ผู้คนทั้งซ้ายขวาจึงค่อยได้สติ ลุกขึ้นยืนหันไปคำนับนาง
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ ยามที่มองเห็นเซี่ยซูแต่งกายด้วยชุดเช่นนี้ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “อัครเสนาบดีเซี่ย เจ้ามาสายก็ช่างเถอะ แต่เหตุใดจึงแต่งกายไม่สำรวมเพียงนี้ อู่หลิงอ๋องเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง เจ้าที่เป็นถึงหัวหน้าขุนนางทั้งหลายกลับต้อนรับแขกของเจ้าเช่นนี้หรือ”
เซี่ยซูย่อมเข้าใจว่าพระองค์กำลังยั่วยุนาง นางจึงยิ้มแย้มด้วยดวงตาเป็นประกาย กวาดมองเว่ยอี้จือปราดหนึ่ง เขาเองก็กำลังเงยหน้าขึ้นมองนางจากหลังโต๊ะของตนเอง ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม มองไม่เห็นความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย เป็นองค์ชายเก้าที่นั่งอยู่ข้างกายเขาที่อดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ ขณะที่กระหม่อมเดินทางมาเข้าเฝ้าเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ไม่ทันระวังจนทำให้เสื้อผ้าฉีกขาด จึงได้มาสายเช่นนี้ เสื้อผ้าชุดนี้เป็นอู่หลิงอ๋องมอบให้ กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยซูโคลงศีรษะไปมา “อู่หลิงอ๋องบัดนี้มีฐานะเป็นถึงต้าซือหม่า ทั้งที่มีตำแหน่งอันส่งสูงและเปี่ยมด้วยอำนาจแล้วแท้ๆ ทว่ากลับดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เพียงรถม้าจะสามัญ แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่ต่างจากของชาวบ้าน ไม่เสียทีที่เป็นขุนนางน้ำดีแห่งต้าจิ้นเรา ยิ่งคิดกระหม่อมก็ยิ่งชื่นชม เห็นควรให้ฝ่าบาทพระราชทานทองคำพันตำลึงแก่เขาเพื่อแสดงการยกย่องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้งุนงงไปในทันใด เห็นๆ กันอยู่ว่าเซี่ยซูเป็นคนเอ่ยชื่นชม เหตุใดจึงกลายเป็นเราที่ต้องจ่ายด้วย!
“ไม่จำเป็นต้องพระราชทานทองคำพันตำลึงหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ฝ่าบาททรงแสดงความชื่นชม กระหม่อมก็ขอจดจำไว้ในใจแล้ว” เว่ยอี้จือรีบแก้ไขสถานการณ์
ฮ่องเต้คลายความอึดอัดในใจลงได้ทันที
เว่ยอี้จือมองเซี่ยซูอยู่ครู่หนึ่ง แววขบขันในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวี “พอชุดเสื้อผ้าชาวบ้านมาอยู่บนร่างท่านอัครเสนาบดีแล้วช่างดูเหมาะสม เข้ากับท่านยิ่งนัก”
รอบด้านเงียบกริบโดยพลัน องค์ชายเก้าอดกลั้นต่อไปไม่ไหว ถึงกับหัวเราะร่าออกมาเสียงดังลั่น พอเขาหัวเราะ ในหมู่ขุนนางก็มีบางคนกลั้นไม่อยู่เช่นกัน เพียงแต่รีบกลั้นหัวเราะไว้ได้ทันควัน
เซี่ยซูรู้นานแล้วว่าการที่ตนเองรับตำแหน่งอัครเสนาบดีไม่เพียงทำให้ฮ่องเต้และชนชั้นสูงจากหลายสกุลไม่พอใจ แม้แต่ผู้ใต้บัญชาบางคนของเซี่ยหมิงกวงก็ยังไม่พอใจด้วย ดังนั้นการกลับมาของเว่ยอี้จือครั้งนี้จึงมีบางคนเริ่มเคลื่อนไหวและคอยจับตาดูนางมากขึ้นแล้ว
เรื่องฐานะของนางนั้นถือเป็นปัญหาหนึ่ง ทว่าเรื่องที่นางเป็นสตรีแต่กล้าแต่งกายเป็นบุรุษนั้น ปัญหาเรื่องสายเลือดที่ว่านี้ย่อมกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันใด
“จริงหรือ” เซี่ยซูไม่เพียงไม่โกรธกลับยังดูตื่นเต้น “ใครบ้างไม่รู้ว่าข้าคือคนเจ้าสำราญชื่อดังแห่งราชวงศ์ต้าจิ้นเรา นอกจากหวังจิ้งจือแห่งหลางหยาที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็มีอู่หลิงอ๋องนี่แหละ บัดนี้ข้าสวมเสื้อผ้าของท่านแล้วได้รับคำชมเช่นนี้จากตัวท่านเอง ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ไม่คิดว่าคนสามัญเช่นข้ายังเข้าตาท่านได้ รู้สึกละอาย…ละอายจริงๆ”
ทุกคนจึงไม่อาจล้อเลียนนางได้อีก