เซี่ยซูพูดจบก็เดินตรงไปยังที่นั่งหัวโต๊ะทางด้านซ้ายมือ นางก้าวเดินอย่างช้าๆ ไม่คล้ายกำลังเดินอยู่ในท้องพระโรงแต่เหมือนเดินอยู่ในป่าไผ่รายล้อมด้วยบุปผานานาพรรณที่มีระยะทางเป็นสิบจั้ง นางดูผุดผาดไร้ราคีแปดเปื้อน เหมือนว่าเป็นเซียนหลุดพ้นแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เว่ยอี้จือมีชื่อเสียงมาตั้งแต่วัยเยาว์ สายตาย่อมสูงส่ง เวลานี้จึงอดปรายตามองเซี่ยซูอยู่บ่อยครั้งไม่ได้ รอจนอีกฝ่ายหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าที่นั่งเขา ทันใดนั้นเขาก็ต้องตะลึงงัน เมื่อเห็นเซี่ยซูยกพัดจีบในมือขึ้นมาปิดบังมุมปากที่หยักขึ้นน้อยๆ เผยออกมาเพียงดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับ เขาถึงกับมองอย่างเหม่อลอยไปชั่วครู่
สมกับเป็นลูกหลานสกุลเซี่ยแห่งเฉินจวิ้น เว่ยอี้จือหลุบตาลงมองจอกสุราของตนเอง รอยยิ้มประดับที่มุมปาก
สุราเวียนไปสามรอบ ฮ่องเต้ก็ยังแค้นใจไม่หายที่เซี่ยซูเสนอให้มอบทองคำแก่เขา จึงเสนอให้หาเรื่องเพลิดเพลินใจออกมา โดยให้เซี่ยซูเป็นผู้ออกหน้าคนแรก
คราวนี้องค์ชายเก้าย่อมไม่ปล่อยเซี่ยซูไป เขากับเว่ยอี้จือมีน้ำใจไมตรีต่อกัน จึงฝังใจว่าเมื่อครู่เซี่ยซูฉวยโอกาสใช้เว่ยอี้จือหาผลเอาประโยชน์ เขานึกอยากช่วยระบายแค้นแทน จึงเสนอขึ้นว่า “เมื่อสองวันก่อน เสด็จพ่อเพิ่งตรัสไม่ใช่หรือว่าทุกปีเหล่าขุนนางล้วนพูดคุยกันถึงผลงานที่ทำสำเร็จ ลูกว่าวันนี้มาพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่ อย่างไรวันนี้เหล่าขุนนางก็ล้วนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว อู่หลิงอ๋องก็กลับมาเมืองหลวงพอดี พวกเรามาตัดสินกันเถิดว่าผู้ใดในราชสำนักที่คู่ควรกับคำว่า ‘ขุนนางดี’ บ้าง”
คำพูดนี้จะให้ฮ่องเต้หรือขุนนางคนใดเป็นผู้เสนอก็ล้วนไม่เหมาะ แต่องค์ชายเก้าอายุยังเยาว์นัก ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานมาโดยตลอด ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นย่อมไม่กล้าพูดอะไร
เหล่าขุนนางต่างมีความคิดในใจ วันนี้ผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นก็คืออู่หลิงอ๋อง ชื่อเสียงของเขาดีงามยิ่ง เวลานี้ไม่เลวเลยที่จะเสนอชื่อของเขา
ทว่าข้างหน้ายังมีอัครเสนาบดีเซี่ยนั่งอยู่…จะทำอย่างไรดี
เซี่ยซูพลันรู้สึกขบขัน ขุนนางทั่วราชสำนักทั้งบู๊และบุ๋นใครบ้างไม่รู้ว่านางเป็นลูกหลานขุนนางเลว วันนี้ยังแสดงท่าทีหยาบคายอย่างไม่ครั่นคร้ามใดๆ อีก คำว่า ‘ดี’ นี้ย่อมห่างไกลจากตัวนางมากนัก เห็นทีองค์ชายเก้าคงหาทางกลั่นแกล้งนางไม่เลิกแน่
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ปล่อยให้เซี่ยซูได้ผ่อนคลายจิตใจ พระองค์เป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ “ในเมื่ออัครเสนาบดีเซี่ยเป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนาง เช่นนั้นก็ให้เจ้าบอกแล้วกัน ทั่วทั้งราชสำนักนี้ ใครกันที่คู่ควรกับคำว่า ‘ดี’ ”
เหล่าขุนนางพากันโล่งอก เรื่องเช่นนี้ใครเป็นคนตอบก็ถือเป็นคราวเคราะห์ของคนผู้นั้นเอง ให้เซี่ยซูตอบนั่นแหละดีแล้ว
เซี่ยซูไม่ได้ลุกขึ้น นางเพียงหันไปประสานมือคารวะฮ่องเต้ แล้วเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “กระหม่อมรู้สึกว่าท่ามกลางข้าราชสำนักทั้งหมด คนที่คู่ควรกับคำนี้เห็นจะมีเพียงตัวกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“พรืด!” องค์ชายเก้าถึงกับสำลักสุราออกมาจนหมด สีหน้าประเดี๋ยวแดงก่ำประเดี๋ยวซีดขาว
เว่ยอี้จือกลับเพียงยิ้มน้อยๆ เขาวางจอกสุราในมือลง แล้วจ้องมองเซี่ยซูอย่างละเอียด ราวกับนึกสนุกขึ้นมากระนั้น
ฮ่องเต้ถึงกับตกตะลึงกับความหน้าหนาไม่รู้จักอายของเซี่ยซูแล้ว “ว่าอย่างไรนะ…”
เซี่ยซูถือพัดไว้ในมือ ชายแขนเสื้อยกขึ้น สีหน้าไม่ยี่หระเลยสักนิด “ฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้วว่าตัวกระหม่อมมีฐานะต่ำต้อยเพียงใด ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในราชสำนักก็ถูกมองด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนแล้ว ส่วนกระหม่อมน่ะหรือ…นอกจากไม่หวั่นไหวต่อข่าวลือไร้ที่มาเหล่านั้น กลับยังยึดมั่นต่อตำแหน่งอัครเสนาบดีมิเสื่อมคลาย ทำหน้าที่อย่างจงรักภักดียิ่ง เช่นนี้มิใช่ต้นแบบของการยืนหยัดเพื่อเป้าหมายหรอกหรือ ไยจะไม่คู่ควรกับคำว่า ‘ดี’ อีกเล่า”
เซี่ยซูพูดได้สั่นคลอนจิตใจคนฟังยิ่ง ดวงตาเปล่งประกายวาววามไปด้วยหยาดน้ำตา แทบจะทำให้ฮ่องเต้นึกสงสารเลยทีเดียว
แทบไม่เคยพบเห็นผู้ใดหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้มาก่อนเลย ฮ่องเต้ถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออก
จู่ๆ เซี่ยซูก็ผุดลุกขึ้นยืน “เพื่อป้องกันคนกล่าวครหาว่ากระหม่อมพูดจาพล่อยๆ วันนี้ก็มาลองหยั่งเสียงกันเถิด ทุกท่านไม่ต้องเขียนทั้งชื่อแซ่ลงไป หากรู้สึกว่าใครที่คู่ควรกับคำว่า ‘ดี’ ก็ให้เขียนเพียงชื่อของคนผู้นั้นลงในกระดาษ ครั้งนี้ให้องค์ชายเก้าเป็นผู้ขานชื่อของแต่ละใบออกมาด้วยตัวเอง และฝ่าบาททรงประกาศผลอย่างเป็นทางการ ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงมีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กระแอมไอ อย่างไรพวกขุนนางก็ต้องเห็นแก่หน้าอู่หลิงอ๋องบ้างแหละน่า พระองค์พยักหน้ารับในที่สุด “เช่นนั้นก็จงจัดการตามนี้เถอะ”
นางกำนัลต่างเดินเรียงแถวยกพู่กัน กระดาษ หมึกแท่ง และจานฝนหมึกเข้ามา ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก เพียงไม่นานผลการหยั่งเสียงก็ออกมา