“นั่นสิ!” เซี่ยซูหนุนช่วยทันใด นางเหลือบมองเว่ยอี้จือทางหางตา สีหน้าได้ใจเหลือเกิน ได้ใจเสียจนลืมวางมาด ดังนั้นจึงพูดถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “การกระทำของอู่หลิงอ๋องขาดความเคารพเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่าเนื้อนกกระเรียนเซียนอร่อยล้ำเลิศ รสติดปากชวนให้โหยหาเพียงใด แต่ก็ไม่อาจล่าได้ ฝ่าบาทต้องทรงลงพระอาญาอย่างหนัก จะได้กำราบไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ ด้วย”
“!!!” ขุนนางนับร้อยพากันขนลุกซู่
เหตุใดเขาจึงทราบว่าเนื้อนกกระเรียนเซียนอร่อยล้ำเลิศ ถึงขั้นติดปากจนชวนให้โหยหาเล่า! ไม่ใช่แล้ว เขาต้องเคยลิ้มรสมันมาก่อนแน่นอน!
ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวจนยื่นมือออกไปชี้หน้าเซี่ยซู ทว่ากลับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว พระองค์แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
ยังต้องพูดอะไรอีก กระเรียนเซียนตัวนั้นต้องตายด้วยฝีมืออัครเสนาบดีอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วยังมีหน้ามากล่าวโทษอู่หลิงอ๋องอีก ถึงกับให้คนในสังกัดของตนเองมาฟ้องร้องกล่าวโทษอู่หลิงอ๋องเลยทีเดียว
สารเลวนัก อยากให้เราสวรรคตจนถึงกับสวาปามนกกระเรียนเซียนของพระองค์เชียวหรือ!
ฮ่องเต้เอ่ยด้วยความกริ้ว “ในชื่อของอู่หลิงอ๋องมีคำว่า ‘จือ’ อยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์ของนิกายเทียนซือเต้า แล้วจะทำเรื่องอย่างการล่านกกระเรียนเซียนได้หรือ เราว่านกกระเรียนเซียนตัวนั้นจะต้องถูกเด็กเหลือขอสารเลวสักคนจับไปต้มกินแน่!”
ชาวต้าจิ้นที่ต่อท้ายชื่อด้วยคำว่า ‘จือ’ จะสื่อถึงการนับถือนิกายเทียนซือเต้า ส่วนเว่ยอี้จือจะนับถือหรือไม่นั้นไม่มีใครทราบได้ แต่รุ่นบิดาของเขานับถือแน่นอน คงเป็นเพราะได้รับการโน้มน้าวจากลูกพี่ลูกน้องฝ่ายตระกูลหวังของพวกเขานั่นเอง ซึ่งล้วนเลื่อมใสนิกายเทียนซือเต้าเป็นอย่างมาก และถือว่านกกระเรียนเป็นนกเซียน การฆ่านกกระเรียนจึงเป็นข้อห้ามใหญ่ของนิกายเทียนซือเต้านี้
เซี่ยซูทำสีหน้าตกตะลึงได้แนบเนียนยิ่งนัก ราวกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก ก่อนจะกลับมาดูสุขุมเช่นเดิม สำรวมสีหน้าท่าทางทำเหมือนว่าไม่รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น
แม้ฮ่องเต้จะกริ้วเพียงใด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรเซี่ยซูได้ พระองค์จึงเอ่ยเหน็บแนมไปหลายประโยค แล้วบอกเลิกเข้าเฝ้าด้วยความฉุนเฉียวยิ่ง สะบัดชายแขนเสื้อแล้วตรงไปยังวังโซ่วอัน เพื่อจะไปพูดคุยกับไทเฮาถึงเรื่องเลวร้ายที่เซี่ยซูทำลงไป
โหรหลวงก็ยุ่งมากเช่นกัน เขาต้องรีบไปจดบันทึกว่าเซี่ยซูผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย ถึงกับทำเรื่องอุกอาจฆ่านกกระเรียนเซียนเพื่อต้มกิน ช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก!
เล่ออันกระวนกระวายใจมาก ด้วยว่าสิ่งที่เซี่ยซูพูดมานั้นดูลึกล้ำชวนให้สงสัย ฟังคล้ายจะเข้าข้างเขา แต่กลับโอนเอียงไปช่วยเหลือเว่ยอี้จือเสียได้ สองคนนี้มิใช่ว่าต่างขุ่นแค้นมีเรื่องขัดอกขัดใจกันอยู่หรือ
เขาลอบมองเซี่ยซู ไม่คิดว่าพอเงยหน้าขึ้นก็ปะทะสายตากับอีกฝ่ายเข้าพอดี ดวงตาคู่นั้นดูล้ำลึกราวกับบ่อน้ำ เย็นเยือกประดุจน้ำพุเย็น ทำเอาเขามีเหงื่อเย็นไหลซึมจนชุ่มโชกแผ่นหลัง
หลังจากเลิกเข้าเฝ้า เซี่ยซูก็เดินออกมาด้วยสีหน้าไม่ยินดี ตลอดทางที่เดินผ่านนางกำนัลไปนั้น ต่างไม่มีผู้ใดกล้าทักทายเหมือนที่เคยทำ
เหล่าเจ้าหน้าที่ในวังก็ล้วนคิดว่าเซี่ยซูหงุดหงิดเพราะตนเองไปทำเรื่องน่ารังเกียจเอาไว้แล้วถูกฮ่องเต้จับพิรุธได้ สายตาที่แต่ละคนมองดูนางจึงแตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีให้เห็น ได้แต่รีบหลบฉากไปแต่แรก พาตัวเองออกห่างจากเซี่ยซู
ในคืนนั้น ช่วงยามไฮ่ มีคนสองคนใช้ม้าเร็วเดินทางมาจากคลองขุดชิงซีที่อยู่ด้านตะวันออกของเมือง เลี้ยวเข้าไปในตรอกอูอีแล้วหยุดลงตรงประตูข้างของจวนอัครเสนาบดี จากนั้นจึงลงจากม้าตรงเข้าไปเคาะประตู
มีเด็กรับใช้มาที่หน้าประตู เห็นบุรุษสองคนท่าทางสง่างามรูปร่างสูงใหญ่ คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ามีหน้าตาโดดเด่นเป็นพิเศษเขาสวมเสื้อคลุมกันลม และหยิบป้ายแสดงตนออกมาจากช่องตรงแขนเสื้อ
เด็กรับใช้ในจวนเสนาบดีรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครในทันที เขารีบค้อมกายคำนับแล้วเอ่ยว่า “คารวะท่าน…”
“งดเถิด พาข้าไปพบนายของเจ้าก็พอ”
“ขอรับ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…