บทที่ 10
ฉู่เหลียนก็คือเด็กหนุ่มผู้นั้นที่พาเซี่ยซูไปเที่ยวหาของกิน ลงน้ำจับปลา ขึ้นเขาไปขุดหาผักหญ้า ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดแทบจะตัวติดกันก็ว่าได้
มีครั้งหนึ่งเขาหาเขี้ยวสัตว์มาได้จากที่ใดก็ไม่ทราบ เขาเอาเขี้ยวสัตว์มาผูกกับเชือกแล้วเอามาให้เซี่ยซูดูด้วยท่าทางภาคภูมิใจ ‘หรูอี้ รู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร นี่ก็คือเขี้ยวเสือ!’ ชื่อของเขาก็คือ หู่หยา
เซี่ยซูเบิกตาโตอย่างตื่นเต้น ‘เจ้าไปได้มาจากที่ใด’
‘ไม่บอกเจ้าหรอก!’
พวกเขาออกไปหาของกินกันเป็นกลุ่ม ทุกครั้งล้วนให้หู่หยาเป็นผู้จัดแจง บ่อยครั้งที่สองคนไปด้วยกันแล้วจะค่อยแยกกันไปหาของ พอได้เวลาก็ค่อยกลับมาที่เดิมซึ่งเป็นสถานที่นัดพบ แล้วจึงเดินทางกลับบ้านพร้อมกัน
ทุกครั้งหู่หยาจะพาเซี่ยซูไปด้วย บางครั้งไม่ได้ไปด้วยกันก็เพราะทะเลาะกันนั่นแหละ ปกติเวลานั้นหากของกินที่เซี่ยซูหามาได้มีน้อยกว่ายามปกติกว่าครึ่ง เมื่อหู่หยากลับไปก็จะแบ่งส่วนของตนเองให้นาง แล้วทั้งคู่ก็จะกลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม
คนอื่นๆ มักจะโวยวายว่า ‘หู่หยาต้องชอบหรูอี้แน่ ลำเอียงทุกครั้งเลย’
‘อย่าพูดจาเหลวไหล!’ หู่หยาหน้าแดงและร้องด่าพวกเขา เขาอายุมากที่สุด ย่อมไม่มีใครเก่งเกินเขา
ภายหลังคนที่พูดล้อเลียนพวกเขาก็น้อยลงไปอีกหนึ่งคน
เซี่ยซูถามหู่หยา ‘นางหายไปที่ใดเล่า’
‘ถูกขายไปแล้วน่ะสิ’ หู่หยาลูบเชือกปอที่ผูกคอตนเอง เขาเหม่อมองออกไปยังที่ไกลๆ
จากนั้นพวกสหายก็น้อยลงเรื่อยๆ
‘รายต่อไปอาจเป็นข้า’ เซี่ยซูบอกเขาตอนที่กำลังขุดหาของป่า ‘แม่ข้าไม่ขายข้าหรอก แต่ของกินน้อยลงทุกที ไม่ช้าก็เร็วข้าคงได้อดตาย’
หู่หยาลูบศีรษะนาง ‘ไม่อดตายหรอก เจ้ายังมีข้าอยู่’
เซี่ยซูไม่ใช่คนมองแต่แง่ร้าย นางหันไปยิ้มให้แล้วเอ่ยว่า ‘ข้าพูดเล่นน่ะ แม่ข้าบอกว่าใบหูข้าใหญ่ ชะตาชีวิตจะได้อยู่ดีมีสุข เจ้าวางใจเถอะ ต่อไปพอข้าได้ดีแล้ว ข้าจะไม่ลืมเจ้าแน่’
หู่หยาตบต้นขาตนเอง ‘มิน่าเล่า ตาแก่ที่ตีสุนัขจึงได้บอกว่า เมื่อสุนัขได้ดี อีกาก็ลืม’
‘ใครจะลืมเล่า!’ เซี่ยซูนึกขึ้นได้ทันใด ‘หรือว่าที่จริงเขี้ยวที่เจ้าห้อยคอจะเป็นเขี้ยวสุนัข?’
หู่หยาหน้าแดง ‘พูดเหลวไหลอะไร เป็นเขี้ยวเสือต่างหาก!’
เซี่ยซูแอบหัวเราะ
ในที่สุดสภาพแห้งแล้งก็ขยายออกไปไกลขึ้น ไม่มีรากบัวให้พวกเขาขโมยอีก ของป่าถูกขุดไปกินจนเกลี้ยง แม้แต่เปลือกไม้ยังถูกถากออกไปจนหมด
เซี่ยซูได้ยินคนอื่นๆ พูดว่าบางหมู่บ้านมีการกินคนกันแล้ว ฟังแล้วนางก็หวั่นใจจนนอนไม่หลับ
หู่หยามาหานาง เขาเอาข้าวสารถุงเล็กๆ มาให้ ดวงตาแดงก่ำ
‘เหตุใดเจ้าจึงมีข้าวมากเพียงนี้’ ที่จริงในถุงมีข้าวแค่สองกำมือ แต่สำหรับเซี่ยซูในเวลานั้นก็ถือว่ามากทีเดียว
‘ข้าเก็บไว้น่ะ เดิมทีว่าจะเก็บไว้ให้น้องชายคนเล็กกิน แต่เขาไม่รอด…’ เขาปาดน้ำตา ‘พ่อข้าจะขายข้า ข้าวนี่ไม่ให้พวกเขาหรอก เอาให้เจ้าก็แล้วกัน!’
เซี่ยซูรีบปฏิเสธปากคอสั่น ‘ไม่ได้นะ เอามาให้ข้า แล้วคนที่บ้านเจ้าจะกินอะไรเล่า’
‘พวกเขาคงเอาเงินที่ขายข้าไปซื้อของกินเองแหละ!’ หู่หยาหันร่างกลับไปอย่างโกรธเคือง เดินไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา จับมือนางไว้แน่น ‘อีกหน่อยรอข้าเก็บเงินไถ่ตัวเองกลับมาได้ ข้าจะต้องมาตามหาเจ้าแน่’
เซี่ยซูหลุบตาจ้องมองพื้นดินอันแตกระแหง ‘อืม’
หากมีวันที่ได้พบกันอีกล่ะก็…
เซี่ยซูกำเขี้ยวซี่นั้นไว้แน่น แล้วถามกวงฝู “นักดนตรีผู้นั้นเล่า”
“เรียนคุณชาย คุณชายของบ่าวพานักดนตรีผู้นั้นไปส่งที่นอกประตูเมืองทิศตะวันออกแล้ว บอกว่าจะจัดการเขาด้วยตัวเอง”
เซี่ยซูสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทันใด “มู่ไป๋ รีบไปตามเขากลับมา!”