ตันชิงเป็นคนตื่นตัวเรื่องอันตรายได้เร็ว แม้การบอกให้ไป๋สิงเจี่ยนกลับใจจะไม่ต่างจากฝันกลางวัน กระนั้นโชคชะตาของหลันไถทั้งหมดก็ล้วนเกี่ยวพันถึงการรับมือกับคนที่จะเป็นใหญ่ในวันหน้าผู้นั้น เขาจึงต้องเอ่ยเพื่อเตือนสติบ้าง
“เมื่อก่อนอดีตไท่สื่อเคยเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยชุนชิว ด้วยความเคืองแค้นจวงกง ขุนนางใหญ่แคว้นฉีนามว่าชุยจู้จึงปลงพระชนม์ ไท่สื่อของแคว้นฉีบันทึกตามจริงว่าชุยจู้ปลงพระชนม์จวงกง ชุยจู้โกรธเคืองสั่งฆ่าไท่สื่อ น้องชายไท่สื่อลำดับที่สองก็บันทึกเรื่องชุยจู้ปลงพระชนม์อีก ชุยจู้ก็สั่งฆ่าอีก น้องชายไท่สื่ออีกคนลำดับที่สามก็บันทึกเรื่องชุยจู้ปลงพระชนม์ ชุยจู้ก็ฆ่าอีก น้องชายไท่สื่อลำดับที่สี่ก็บันทึกเรื่องปลงพระชนม์ ถึงครานั้นชุยจู้จึงยอมล้มเลิก นิทานเรื่องนี้จบท้ายด้วยว่า…เพราะอาลักษณ์ยืนหยัดการรักษาการบันทึกประวัติศาสตร์ตามจริงไว้ให้ได้ แต่สำหรับอาลักษณ์แล้ว ค่าของการแลกมานั้นช่างหนักหนาสาหัส”
ไป๋สิงเจี่ยนฟังตันชิงพูดแล้วนิ่งไปชั่วครู่ก่อนออกแรงลุกนั่ง ตันชิงมองดูความยากลำบากของเขาแล้วก็ไม่กล้าช่วยพยุง ได้แต่กระวนกระวายรออยู่ด้านข้าง พูดกันว่าหัวหน้าสำนักหลันไถพลิกฝ่ามือเป็นเมฆคว่ำฝ่ามือเป็นฝน* มีอำนาจล้นฟ้า ทว่ายามนี้มืออันเรียวเล็กคู่นั้นกลับค้ำร่างได้เพียงครึ่งตัวเท่านั้น
“หากเจ้ารู้สึกว่าหลันไถมีภัยก็สามารถจากไปได้ทุกเวลา ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ เจ้าหน้าที่หลันไถคนอื่นๆ ก็ไปได้ทุกคน ข้าจะไม่ขัดขวางผู้ใดทั้งนั้น” คำพูดของไป๋สิงเจี่ยนกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉย ไม่ว่ากับใครหรือเรื่องใดก็เหมือนไม่อาลัยทั้งสิ้น รวมถึงตันชิงที่ถูกเก็บมาเลี้ยงดูและอบรมกว่าห้าปี
ตันชิงพลันตื่นตระหนก เขาคุกเข่าลงเสียงดังตุบ พลางฟุบอยู่ข้างเท้าของไป๋สิงเจี่ยน “แต่ไรมาตันชิงไม่เคยคิดจะจากไป จะขออยู่รับใช้ท่านจนกว่าท่านจะแต่งงานมีลูกเลยขอรับ!”
“ชีวิตของข้ามอบให้แก่หลันไถแล้ว ไม่เคยคิดแต่งภรรยามีลูก เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระนี้หรอก ลุกขึ้นเถิด แล้วก็เอาอาหารกลับไปด้วย”
ไป๋สิงเจี่ยนอดไม่ได้ที่จะลอบใคร่ครวญกับตนเอง ไยจึงทำให้คนคิดไปได้ว่าหลันไถจะล่มสลายเล่า เป็นเพราะหัวหน้าสำนักตรวจการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหรือ อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ของหลันไถก็เป็นเพื่อนบ้านกับพวกสำนักตรวจการมานาน จะว่าไปก็ควรเคยชินกับที่หัวหน้าสำนักตรวจการคิดใช้วิธีการสกปรกไม่หยุดอยู่แล้วนี่ หรือเป็นเพราะเรื่องของฉืออิ๋งในวันนี้ เห็นองค์หญิงก่อกวนหลันไถ พวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงอันตรายหรือ
พิจารณาตามเหตุผลแล้ว หัวหน้าสำนักหลันไถก็หาคำตอบได้ เนื่องจากที่ผ่านมาหลันไถจะปฏิบัติต่ออันตรายที่มาคุกคามด้วยวิธีการสืบให้รู้ถึงต้นตอเสมอ
“นางไปจากหลันไถหรือยัง” ไป๋สิงเจี่ยนพลันสังหรณ์ใจขึ้นมา ราวกับว่าตนเองมองข้ามบางอย่างไป
“ไม่เห็นเลยขอรับ คิดว่าน่าจะกลับไปแล้ว หลังความวุ่นวายรอบนี้ องค์หญิงคงพบว่าหลันไถไม่มีอะไรให้เล่นอีก” แม้ไป๋สิงเจี่ยนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยฉับพลัน ทั้งไม่ได้กล่าวถึงชื่อแซ่ ถึงอย่างนั้นคำว่า ‘นาง’ ก็บอกได้อย่างชัดเจนแล้ว ตันชิงย่อมรู้ได้โดยสัญชาตญาณ พร้อมกับลองเดาใจรัชทายาทของพวกเขาด้วย
ไป๋สิงเจี่ยนรู้สึกวางใจลงได้บ้าง แม้ลึกๆ จะยังสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่ก็ตาม คงเป็นเพราะร่างกายไม่ค่อยสบายกระมัง สติข้าจึงไม่ค่อยนิ่ง
ตันชิงก็รู้สึกว่าผู้เป็นนายสติไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไรนัก เพราะตอนที่เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะยาวนั้น หนังสือก็ไปชนถูกชามน้ำแกงที่อยู่ในถาดอาหารเข้าโดยไม่ทันระวัง น้ำแกงที่มีอยู่เต็มชามจึงหกใส่หนังสือจนเปียกชุ่มในพริบตา
หัวหน้าสำนักหลันไถไม่เคยให้คุณค่าต่อสิ่งใดมากไปกว่าหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นบันทึกเรื่องราว และที่ไป๋สิงเจี่ยนกำลังอ่านอยู่นั้นก็เป็นบันทึกที่ทำการแก้ไขใหม่ โดยให้ชุยซั่งซึ่งเป็นเซ่าลิ่งสื่อที่พึ่งพาได้ที่สุดนำกลับมาจากป๋อหลิง เพื่อแก้ไขบันทึกฉบับนี้แล้ว ชุยซั่งต้องถูกส่งตัวไปเก็บรวบรวมเรื่องราวถึงสองปีเต็ม ความยากลำบากนี้มีเพียงตัวชุยซั่งเท่านั้นที่เข้าใจได้ และยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีชุยซั่งเองก็ถือว่ามีสายเลือดของสกุลชุยอยู่ แต่เนื่องจากมีมารดาเป็นนางโลม ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนสกุลชุยที่มีชื่อเสียง เกิดมามีฐานะยากจน ยามไปทำงานที่ป๋อหลิงก็พบเจออุปสรรคมากมาย กระนั้นเขาก็ไม่เคยท้อถอย สามารถทำงานตามที่รับมอบหมายจากไป๋สิงเจี่ยนจนสำเร็จลุล่วง บรรลุตามหน้าที่ของเซ่าลิ่งสื่อในที่สุด