ในจดหมายที่พี่ชายเขียนมา เฟิ่งจวินเห็นเขาเอาแต่เรียกโต้วเปาเอ๋อร์ว่า ‘เจ้าเด็กหัวแข็ง’ ทว่าตั้งแต่เห็นเขาเข้าตำหนักมาก็เห็นเพียงบุตรชายที่สง่าผ่าเผย ท่าทางดูเป็นชนชั้นสูง เป็นหนุ่มน้อยใบหน้าคมคาย ดูแล้วคล้ายคลึงกับตนเองตอนเยาว์วัยยิ่งนัก เห็นเช่นนี้แล้วก็ถือว่าน่าพอใจไม่น้อย
“ลุกขึ้นเถิด เสด็จแม่เจ้าทรงอ่านหนังสืออยู่ ไม่มีเวลาออกไปรับเจ้า พ่อเองก็ยุ่งทุกวันจนไม่ได้คิดห่วงเรื่องเจ็บป่วย”
เฟิ่งจวินปิดสมุดการบ้านของฉืออิ๋งแล้ววางพู่กันลง ก่อนจะจ้องมองท่วงท่าที่ยืนขึ้นอย่างสง่างามของโต้วเปาเอ๋อร์ ในใจลองเทียบความต่างของส่วนสูงของบุตรชายกับเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้า เด็กหนุ่มเติบโตเร็วมาก เพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แล้ว บุตรชายบุตรสาวเติบโตขึ้น บิดามารดาก็ต้องเสื่อมถอย เขาอดรู้สึกว่าตนเองอยู่ห่างจากวัยหนุ่มไปไกลยิ่งกว่าเดิม ถึงกับหลุดปากทอดถอนใจว่า “วันเวลาพุ่งเร็วดุจลูกศร วัยหนุ่มสาวเร่งจากจรแสนอาลัย”
“เสด็จพ่อทรงมาถึงจุดสูงสุด สว่างไสวดุจต้นไม้หยก เปรียบกับคำว่าแก่นั้นยังห่างกันลิบลับ แต่เสด็จพ่อก็อย่าได้ทรงหักโหมงานจนเกินไป” โต้วเปาเอ๋อร์รีบเอ่ยปลอบโยน
บิดายังเศร้าอยู่กับช่วงหนุ่มที่รุ่งโรจน์ ขณะที่ท่านลุงใหญ่กล่าวว่า ‘ผู้รู้ชอบอวดรู้ แต่ชอบเสียใจกับสิ่งที่จากไป เศร้าใจต่อสิ่งที่จะเข้ามา เอาแต่ร่ายกวี’
ท่านลุงรองกล่าวว่า ‘คนเรายิ่งมีรูปโฉมงดงามคมคายเท่าไรยิ่งกลัววันเวลาที่ล่วงผ่านไป เหมือนกับเสด็จพ่อของเจ้า ตั้งแต่อายุสิบกว่าก็เริ่มเป็นห่วงกังวลว่ารูปโฉมและชื่อเสียงของตนเองจะไม่อยู่ยืนยงถึงปัจจุบัน ยังดีที่เสด็จพ่อของโต้วเปาเอ๋อร์เป็นบุรุษที่โดดเด่นเกินพี่น้องคนอื่นของสกุลเจียงแห่งซีจิงในเรื่องของความรู้ความสามารถและท่าทางสง่า เมื่อใดที่เขาเป็นทุกข์ด้วยเรื่องนี้ คนรอบข้างจะไม่รู้ แต่จะเข้าใจได้ชัดเจนจากใบหน้าของเขา ซึ่งทำให้เขารอดพ้นจากการโจมตีของบรรดาพี่น้อง’
“ทางซีจิงเป็นเช่นไรบ้าง ท่านปู่ทวดของเจ้ายังแข็งแรงดีหรือไม่” เฟิ่งจวินได้รับการปลอบประโลมอย่างจริงจังจากโต้วเปาเอ๋อร์ จึงเก็บความเศร้าสลดไว้ชั่วคราว
“ทุกอย่างที่ซีจิงยังดีพ่ะย่ะค่ะ ท่านปู่ทวดยังแข็งแรงและกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก พาลูกปีนข้ามเขาถงซาน ชื่นชมทิวทัศน์ทั่วซีจิง ท่านปู่ทวดยังบอกว่าท่านเองก็ดูแลเสด็จพ่อมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ทั้งยังบอกว่าลูกคล้ายกับเสด็จพ่อยิ่งนัก พอเห็นลูกก็เหมือนว่ามีเสด็จพ่ออยู่ต่อหน้า”
“ท่านปู่ทวดเจ้าอายุมากแล้ว ในเมื่อพ่อจากเมืองหลวงไปไม่ได้ เจ้ากลับซีจิงไปก็ต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ทวดเจ้าแทนพ่อให้เต็มที่ด้วย อย่าทำให้ท่านปู่ทวดโกรธ” เฟิ่งจวินทอดถอนใจ
“เสด็จพ่อทรงหาเวลาว่างเสด็จกลับซีจิงระยะสั้นสิ ท่านปู่ทวดจะต้องดีใจมากแน่”
“แล้วพ่อจะมีเวลาว่างได้อย่างไร” เฟิ่งจวินมองดูฎีกากองใหญ่ตรงหน้า
“เสด็จพ่อทรงหักโหมงานราชการแผ่นดิน โดยทรงทำแทนทุกสิ่งทุกอย่างจนเกินไป รัชทายาทจึงยากที่จะมารับช่วงต่อได้ มิสู้ทรงแบ่งงานบางส่วนออกไปบ้าง เสด็จพ่อจะได้ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยเกินไป รัชทายาทก็จะได้เรียนรู้งานได้ด้วย”
ในใจโต้วเปาเอ๋อร์พลันรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับฉืออิ๋งที่ใช้ชีวิตอย่างสุขกายสบายใจที่เมืองหลวง ตัวเขากลับอยู่ซีจิงราวกับต้องโทษเพียงคนเดียว แล้วยังต้องต่อสู้กับพวกลูกพี่ลูกน้อง ไม่ว่าแข่งทำการบ้าน แข่งความรู้ แข่งการวางตัว แข่งแทบทุกเรื่อง หากไม่ใช่มีท่านปู่ทวดคอยดูแล แต่ละวันที่เขาอยู่ซีจิงคงนานเหมือนปี