“ไม่ว่าจะต้องสงสัยอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้ง ไม่มีทางไม่ห่วงใยคนที่รัก! อีกทั้งนางยังต้องจากบ้านเมืองมาไกลด้วย ข้าไม่คำนึงถึงเรื่องผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองหรอก!” โต้วเปาเอ๋อร์แสดงออกถึงการแบกรับภาระของบุรุษ นั่นคือปฏิเสธข้อเสนอของไป๋สิงเจี่ยน ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามขึ้น “อาจารย์เคยรักใครสักคนหรือไม่”
ไป๋สิงเจี่ยนมองตรงไปที่บุรุษหนุ่มผู้นี้ “องค์ชายทรงไม่เคยพบเจอคลื่นลมในชีวิต จึงมีพระดำริว่าความรักสามารถแทนที่ได้ทุกสิ่ง”
โต้วเปาเอ๋อร์พูดสวนกลับมาในทำนองเดียวกัน “อาจารย์เองก็ไม่เคยรักใคร ถึงได้เห็นว่าในใต้หล้านี้มีแต่วัดกันที่ข้อดีข้อเสียเท่านั้น”
พูดจบโต้วเปาเอ๋อร์ก็จากไปอย่างขุ่นเคือง
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋สิงเจี่ยนถูกคนหนุ่มซึ่งยังอ่อนต่อโลกคนหนึ่งกล่าวโต้แย้ง
เขาก้าวเดินอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบ หลบหลีกของเล่นที่เกลื่อนอยู่บนพื้นอย่างระวัง รอจนลอดผ่าน ‘เขตแดนอ่อนไหว’ แล้ว เขาก็มาถึงเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือได้เสียที เขาลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง เหงื่อไหลทั่วแผ่นหลังนานแล้ว
วางไม้เท้าไว้ที่ด้านข้างแล้ว เขาก็หยิบเข็มเงินออกมาจากในแขนเสื้อสิบกว่าเล่ม เข็มแต่ละเล่มยาวกว่าเข็มเงินของกู้ไหวถึงสองเท่า หมอทั่วไปไม่อาจใช้เข็มยาวเพียงนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีห่อผงฝิ่นชื้นๆ ห่อหนึ่ง ที่ทุกคนต่างมองว่าดอกฝิ่นเป็นดอกไม้ให้โทษ ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถใช้เป็นยาระงับความเจ็บปวดได้
ไป๋สิงเจี่ยนใช้เข็มเงินจุ่มไปที่ผงฝิ่น ก่อนปักเข็มลงไปที่เข่า แทงเข็มลงไปสิบกว่าเล่มโดยไม่ยอมออมมือ หากมีคนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเขาในตอนนี้แล้ว จะต้องคิดว่าเขากำลังทารุณตนเองเป็นแน่
สำหรับไป๋สิงเจี่ยนแล้ว ความเจ็บปวดที่มีเข็มแทงเข้ากระดูกเทียบไม่ได้กับตอนที่อาการของโรคกำเริบเลยด้วยซ้ำ และทุกครั้งที่อาการเขากำเริบ หากไม่ใช้ผงฝิ่นช่วยอาการก็จะไม่ทุเลา ดังนั้นเขาจึงพกผงฝิ่นติดตัวไว้เสมอ ทว่าครั้งนี้ผงฝิ่นที่เปียกน้ำมีเหลือใช้ไม่มากแล้ว ฤทธิ์ของยาย่อมลดลงไปมาก
เขาพิงไปที่พนักเก้าอี้ ใช้นิ้วมือจับที่ชายเสื้อ ข้อนิ้วเขียวคล้ำ หน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเงยหน้ามองไปที่ขื่อคานและเพดานในตำหนัก ซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายของมังกรคู่เล่นไข่มุก มีดอกบัวโอบล้อม สิบหกเทพธิดาโปรยดอกไม้บรรเลงดนตรี ตอนที่เยาว์วัยเขาก็เคยเห็นดอกบัวและเทพธิดามาก่อน
ไป๋สิงเจี่ยนไม่ยอมจมอยู่กับเรื่องในอดีต เขาหันมามองดูที่โต๊ะ แล้วเลื่อนมือไปที่หนังสือเล่มที่อยู่ใกล้ที่สุด พลิกเปิดออกดู กลับเป็น ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ ที่เฟิ่งจวินเขียนขึ้นเอง ซึ่งเกี่ยวพันกับภาษีของอาณาจักร เมื่อเห็นของเล่นเกลื่อนเต็มพื้นแล้ว ช่างรู้สึกไม่เข้ากันเลยสักนิด ไป๋สิงเจี่ยนเคยอ่าน ‘ว่าด้วยเกลือและเหล็ก’ มาก่อน เขารู้สึกว่าเฟิ่งจวินเป็นคนเก่งที่ไม่ได้จะมีในทุกยุค แต่เห็นอีกฝ่ายยอมรับเป็นเฟิ่งจวินเช่นนี้ เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย
‘อาจารย์เองก็ไม่เคยรักใคร ถึงได้เห็นว่าในใต้หล้านี้มีแต่วัดกันที่ข้อดีข้อเสียเท่านั้น’
เสียงของโต้วเปาเอ๋อร์คล้ายยังวนเวียนอยู่ข้างหู