เวลานั้นมารดาของหลี่ซิวหยวนจึงได้ตอบตกลงเรื่องการแต่งงานนี้ หลังจากนั้นเสิ่นหยวนก็พักอยู่ที่บ้านท่านตามาโดยตลอด จนกระทั่งไว้ทุกข์ให้มารดาครบหนึ่งปีแล้ว นางถึงได้กลับเมืองหลวง พักอยู่ที่บ้านได้ไม่ถึงครึ่งเดือนก็แต่งออกไปจวนสกุลหลี่
นึกถึงเรื่องเหล่านี้เมื่อชาติก่อนขึ้นมาเสิ่นหยวนก็ให้รู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน ยังจำได้ว่าสองวันหลังจากนางเกิดใหม่ในชาตินี้ ท่านตาได้ให้คนเรียกนางไปที่ห้องหนังสือของเขา
ทั้งชีวิตท่านตามีเพียงบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวสองคน โชคร้ายที่ท่านยายจากไปเร็ว หลังจากนั้นบุตรชายก็สิ้นใจตามไปอีก เหลือหลานชายไว้ให้เพียงคนเดียว บุตรสาวทั้งสองยามนี้ก็สิ้นใจไปหนึ่งคนแล้ว ในใจคนชราอย่างเขาย่อมจะโศกเศร้าระทมใจเป็นธรรมดา
ยามเสิ่นหยวนได้พบท่านตาก็รู้สึกว่าเวลาสั้นๆ เพียงวันสองวันนี้เขาคล้ายจะแก่ลงไปไม่น้อย
ท่านตาเห็นนางมาถึงก็กล่าวขึ้นว่า ‘ก่อนมารดาเจ้าจากไปได้เขียนจดหมายมาให้ข้าฉบับหนึ่ง ข้าเพิ่งจะได้รับเมื่อวาน’
ท่านตาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ‘มารดาเจ้าบอกไว้ในจดหมายว่าหากในใจเจ้ายังคะนึงถึงหลี่ซิวหยวนผู้นั้นอยู่ จะแต่งกับเขาให้ได้ นางก็จะให้ข้าพยายามจนสุดกำลังเพื่อช่วยทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ข้าเรียกเจ้ามาตอนนี้ก็ด้วยอยากถามเจ้าถึงเรื่องนี้ เจ้ายังอยากแต่งให้หลี่ซิวหยวนผู้นั้นอยู่หรือไม่’
เสิ่นหยวนย่อมไม่อยากแต่ง
ชาติก่อนพอแต่งให้หลี่ซิวหยวนแล้ว นางถึงได้รู้ว่าที่แท้ผู้ที่ในใจเขาชอบมาตลอดคือเซี่ยเจินเจิน บุตรสาวของอาจารย์เขา พอนางแต่งไปเช่นนั้นก็เป็นการแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน และสุดท้ายตนเองก็ไม่มีจุดจบที่ดี
นางกล่าวขอบคุณในความหวังดีของท่านตา ก่อนจะยืนกรานปฏิเสธ หลังจากนั้นท่านตาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทว่าตอนนี้บิดากลับเอ่ยถึงมันขึ้นมาอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีคนพูดเรื่องนี้ต่อหน้าบิดาไม่หยุด ทำให้ในใจบิดายิ่งขุ่นเคืองนางกระมัง ทว่านับแต่นางได้กลับมาเกิดใหม่ก็ให้คนส่งพวกคุณธรรมสตรี ตำราสอนหญิง รวมถึงพระสูตรที่นางคัดลอกเองมาให้บิดาเป็นประจำ ใช้สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านางสำนึกผิดจากใจจริงแล้ว ซ้ำยังเย็บพวกถุงเท้า สนับเข่าจำนวนหนึ่งให้คนส่งมาให้บิดาด้วย
แน่นอนว่าแรกๆ นางเย็บปักได้แย่ยิ่ง หลังได้เรียนจากฉางหมัวมัวถึงได้ค่อยๆ ดีขึ้น ทว่านางรู้สึกว่าต่อให้งานที่ตนทำแรกๆ นั้นย่ำแย่เพียงไรก็ยังควรให้คนส่งของที่ตนทำมาให้บิดา หลังจากนั้นฝีมือนางเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น จึงยิ่งควรส่งของที่ตนทำเหล่านั้นมาให้บิดาอีก
แม้ของที่นางทำล้วนเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ยังคงมีข้อดี ประการแรก…การทำเช่นนี้สามารถแสดงให้เห็นว่าในใจบุตรสาวอย่างนางมีบิดาอย่างเสิ่นเฉิงจางอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นห่วงเป็นใยว่าเขาจะหนาวจะร้อนหรือไม่ด้วย ส่วนประการที่สองซึ่งสำคัญที่สุดคือนางทำเช่นนี้ก็เท่ากับให้บิดาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในทุกวันของนาง
ช่วงเวลานั้นนางสงบใจลงได้และอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักสามเชื่อฟัง* สี่คุณธรรมของสตรีที่เมื่อก่อนนางไม่คิดจะอ่านที่สุด ทั้งภาวนาขอพรให้มารดาจากใจ คัดพระสูตรทุกวัน และนางยังเรียนเย็บปักถักร้อยจนเป็น เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงท่าทีว่าตนเองสำนึกผิดแล้วให้เสิ่นเฉิงจางเห็น
บางครั้งการกระทำก็มีพลังในการสั่นคลอนใจคนได้มากกว่าคำพูดใดๆ
และก็เป็นไปตามคาด บิดาเห็นคุณธรรมสตรี ตำราสอนหญิง และพระสูตรที่นางคัด รวมถึงได้รับบรรดาถุงเท้า สนับเข่าที่นางทำกับมือแล้วก็ถึงกับตอบจดหมายนางอย่างหาได้ยาก แม้ถ้อยคำในจดหมายยังคงรุนแรงยิ่ง แต่นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีแล้ว
น่าเสียดาย หลังจากจดหมายฉบับนั้นบิดาก็ไม่ส่งจดหมายมาอีก เสิ่นหยวนเดาว่าน่าจะเพราะมีคนพบว่าบิดาเขียนจดหมายให้นาง จึงไปพูดบางอย่างจนทำให้บิดาขุ่นเคืองนางต่อ ฉะนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุว่าเพราะอะไรชาตินี้เสิ่นหยวนถึงกลับเมืองหลวงมาก่อนกำหนด
ชาติก่อนข้ารอจนผ่านช่วงไว้ทุกข์ให้มารดาไปแล้วถึงค่อยเดินทางจากฉางโจวกลับมาเมืองหลวง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชาตินี้การกลับมาก่อนล่วงหน้าจะทำให้ได้พบกับหลี่ซิวเหยาระหว่างทาง ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่…
เสิ่นหยวนโยนความคิดที่ผุดขึ้นมากะทันหันในสมองนี้ทิ้งไป ก่อนจะร้องไห้พูดอีกว่า “ท่านพ่อ ลูกสำนึกผิดและปรับปรุงตัวแล้ว เกือบหนึ่งปีมานี้ลูกให้คนส่งคุณธรรมสตรี ตำราสอนหญิง และพระสูตรเหล่านั้นมาให้ท่าน ซ้ำยังมีงานเย็บปักเหล่านั้นอีก ลูกไม่เชื่อหรอกว่าในใจท่านพ่อจะไม่ทราบ”
เสิ่นหยวนรู้ว่าแม้ภายนอกเสิ่นเฉิงจางจะดูเคร่งครัดเข้มงวด แต่อันที่จริงเป็นคนหูเบา ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเอง ผู้อื่นพูดอะไรต่อหน้าเขาบ่อยมากหน่อยก็ทำให้เปลี่ยนใจได้ทันที
และก็เป็นไปตามคาด พอเสิ่นเฉิงจางเห็นเสิ่นหยวนร้องไห้จนมีคราบน้ำตาเปรอะเต็มหน้า ซ้ำปากยังพูดคำเหล่านี้ออกมา เพลิงโทสะที่เพิ่งลุกพึ่บขึ้นในใจเขาก็สลายไปทันใด