บทที่ 2
พิธีสืบทอดราชบัลลังก์ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของราชวงศ์ต้าเว่ยนับแต่อดีตไม่เคยมีสภาพอเนจอนาถน่าสังเวชใจถึงเพียงนี้มาก่อน
หยวนกงกงยืนอยู่บนแท่นสูง กระแอมในลำคออ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘พระราชโองการก่อนสวรรคต’ ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยที่อยู่เบื้องล่างต่างพากันก้มศีรษะฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของฮ่องเต้พระองค์ก่อน และค้อมศีรษะคำนับต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่
เนี่ยชิงหลินสวมพระมาลาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นที่มีอำนาจสูงสุด ร่างบอบบางในเสื้อคลุมมังกรตัวใหญ่เทอะทะไม่พอดีกับรูปร่าง พอนั่งอยู่คนเดียวบนบัลลังก์มังกรตัวใหญ่โตแล้วช่างถ่ายทอดความรู้สึกอันโดดเดี่ยวได้อย่างเต็มเปี่ยม
การบอกว่าตัดอาภรณ์ไม่ทันและไม่พอดีตัว ทำให้ฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยพระองค์ใหม่ดูหมดราศีนั่นก็ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่สักหน่อย
สิ่งสำคัญที่สุดที่ขับให้ภาพของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ดูเด่นชัดขึ้น แท้จริงแล้วคือเก้าอี้สีทองหรูหราที่อยู่ถัดจากบัลลังก์มังกรนั่นต่างหากเล่า เก้าอี้ทั้งตัวตกแต่งประดับประดาด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ปานดวงตามังกร อีกทั้งด้านหลังเก้าอี้ยังมีมังกรวารีขดตัววาดลวดลายพลิ้วไหวในสายน้ำที่ถักทอเป็นเกลียวคลื่นด้วยดิ้นทอง
นี่คือที่นั่งของราชครูเว่ย
แม้มังกรวารีจะไม่มีเขา แต่หลังจากผ่านไปพันปีมันจะกลายเป็นมังกรที่มีสองเขาครบสมบูรณ์ โดยเฉพาะมังกรวารีชั่วร้ายที่มีฟันและกรงเล็บแหลมคมนั้นยิ่งมีพลังทำร้ายรุนแรงมาก ต่อให้เป็นมังกรแท้ๆ ก็ยังถูกฆ่าและกลืนกินโดยสัตว์ประหลาดชั่วร้ายตัวนี้ได้
อย่างน้อยที่สุดเนี่ยชิงหลินมังกรที่แท้จริงตัวนี้ก็ถูกอำนาจชั่วร้ายเข้าครอบงำจนกลายเป็นไส้เดือนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว นางต้องสวมพระมาลาหนักสามชั่ง* บนศีรษะ สวมเสื้อคลุมมังกรประหนึ่งห่อหุ้มตัวด้วยถุงกระสอบ นั่งตัวตรงแหน็วตาปรือ ทุ่มเททำตนเป็นเครื่องประดับที่ดีสนองหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุดความสามารถ
เมื่อนึกย้อนไปถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของฮ่องเต้พระองค์ก่อนในยามร่วมประชุมเช้าของราชสำนัก ขุนนางใหญ่ที่มีความเห็นแตกต่างกันสามารถถกเถียงกันเสียงดังลั่นในราชสำนักได้ด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคตอย่างลึกลับกะทันหันในชั่วข้ามคืน องค์ชายที่อายุน้อยและไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นนี้กลับได้ขึ้นครองบัลลังก์ เสาหลักของราชสำนักต่างพร้อมใจกันแสดงให้เห็นถึงความสมานฉันท์ กรูกันเข้ามาแสดงความเคารพต่อผู้ขึ้นครองบัลลังก์คนใหม่อย่างหาได้ยาก
กระนั้นคนที่มีวิจารณญาณล้วนรู้ดีว่าระหว่างเก้าอี้สองตัวข้างบนที่พวกเขาคุกเข่าให้อยู่นั้น พวกเขาคำนับใครกันแน่
หากยังไม่แจ่มแจ้งอีกก็ลองมองดูใบหน้าของพวกพ้องข้างๆ ที่เปลี่ยนไปแล้วกว่าครึ่ง จากนั้นก็ลองไตร่ตรองให้ละเอียดถึงจุดจบของขุนนางใหญ่ที่หายตัวไปพวกนั้นดู แล้วการโค้งคำนับจะยิ่งสุภาพอ่อนน้อมมากขึ้นไปอีก
เว่ยเหลิ่งเหยาก็คือวีรบุรุษผู้ฉลาดแกมโกงประเภทหนึ่งที่ใช้วิธีอันดุเดือดจัดการอย่างรวดเร็วฉับไว ‘เสาหลัก’ เช่นนี้หนึ่งร้อยปีถึงจะพบเห็นได้สักคนจริงๆ
พอคิดดังนี้เนี่ยชิงหลินก็อดลอบหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตนผู้นั้นไม่ได้
และไม่น่าแปลกใจเลยที่มีคนขนานนามเขาว่า ‘บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย’ ด้วยรูปโฉมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กอปรกับรูปร่างสูงโปร่งสง่างามในชุดคลุมราชสำนักพื้นดำขลิบทอง คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดไม่แน่ว่าอาจแอบรำพึงออกมาก็ได้ว่า ‘ช่างงดงามราวกับภาพวาดเทพเซียนโดยแท้!’