ระหว่างที่ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมออยู่นาน เนี่ยชิงหลินก็ลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วพบว่าเตียงนอนกลับเต็มไปด้วยสีสันแห่งความสุขตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ กระดาษสีแดงปลิวว่อนไปทั่ว บรรยากาศดูเหมือนห้องโถงจัดพิธีแต่งงานในจวนสกุลเก๋อก็ไม่ปาน แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไรก็กลายเป็นสีแดงดุจเลือดที่เหนียวหนืดไหลซึมลงบนพื้นท้องพระโรงในช่วงเหตุการณ์กบฏในวังคราวนั้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทำให้นางอึดอัดพยายามกลั้นหายใจสุดชีวิต แต่ขณะที่เดินไปข้างหน้าด้วยความสับสนงุนงงอยู่นั้นกลับพบว่าตนเองยืนอยู่บนเรือเล็กลำหนึ่งที่ลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว รอบตัวเต็มไปด้วยสภาพเหมือนกับวันที่เปิดประตูระบายน้ำนั่นเลยทีเดียว กระแสน้ำเชี่ยวกรากราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง พร้อมที่จะพัดเรือน้อยให้พลิกคว่ำได้ในทุกขณะจิต นางยืนอยู่บนเรือที่โคลงเคลงไปมาจนตัวโยนด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงไร้ที่พึ่งพิงอย่างเดียวดาย ทันใดนั้นนางก็พบว่ามีเงาขนาดใหญ่อยู่ใต้ลำเรือ ราวกับมีสัตว์ประหลาดกินคนซุ่มซ่อนอยู่ใต้คลื่นน้ำ หัวเราะเสียงแหลมแปลกประหลาดแสบแก้วหู ‘เจ้าหนีไม่พ้นหรอก สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในอ้อมแขนของข้าอยู่ดี’
นางอยากตะโกนเรียกหาใครสักคน เรียกท่านแม่ เรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์ แต่เสียงที่หลุดออกมาจากปากของนางกลับเป็นเสียงแหบแห้งที่ร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านราชครู!”
หลังเสียงที่ตะโกนออกไปในความว่างเปล่านั้นราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างฉุดรั้งนางไว้ พยายามจะดึงนางเข้าสู่วังน้ำวนที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งให้จงได้!
“ไม่! ปล่อยนะ ท่านราชครูช่วยข้าด้วย กรี๊ด!” ความตื่นตระหนกหวาดกลัวจับใจเกินบรรยายทำให้นางดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง แต่ความพยายามทั้งหมดกลับถูกท่อนแขนที่แข็งแกร่งปานเหล็กคู่หนึ่งรัดไว้แน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้
“ตื่นๆ กั่วเอ๋อร์ ตื่นสิ!” ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งตบแก้มนางเบาๆ เพื่อปลุกให้ตื่น นางถึงได้ฝืนลืมตาที่มีหยาดน้ำคลอหน่วยขึ้นมา ก่อนจะพบว่านางถูกบุรุษคิ้วหนานัยน์ตาหงส์ผู้นั้นกอดรัดในอ้อมแขนเสียแน่น
เมื่อเห็นว่านางลืมตาขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จูบแก้มของนางที่เปียกชุ่มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฝันร้ายอะไรอยู่หรือ ถึงปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่นเสียที”
หลังถามคำถามนี้ออกไปก็เห็นหญิงสาวในอ้อมแขนกะพริบตาที่สะลึมสะลืออย่างงุนงง ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ อีกครั้งโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่ถูใบหน้าเล็กๆ กับอกเสื้อของเขาไปมาอยู่หลายครั้ง ขนตาที่เปียกชื้นไม่สั่นระริกอีกต่อไป ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดแต่อย่างใด
กั่วเอ๋อร์ผู้นี้เป็นคนที่มีเปลือกแข็งหุ้มตนเองไว้ เว่ยเหลิ่งเหยารู้ว่าปกตินางเป็นคนที่ชอบฝันขณะหลับ ซึ่งเก้าในสิบครั้งที่ฝันล้วนเป็นฝันร้ายทั้งสิ้น และทุกครั้งที่ฝันร้ายก็มักดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ข้างๆ เขาตลอด ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น ทว่าแต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยนอนละเมอพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
วันนี้กลับรู้จักตะโกนเรียกเขาเสียด้วยสิ ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก ในใจเขาแอบรู้สึกดีใจมาก แต่ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดใจไปพร้อมกัน ไม่รู้ว่ากั่วเอ๋อร์ที่น่าสงสารฝันถึงอะไรถึงทำให้หวาดกลัวถึงเพียงนี้ได้
ราชครูเว่ยรู้ว่ากั่วเอ๋อร์น้อยที่เป็นเหมือนผลไม้เปลือกแข็งผู้นี้ใช้แรงบีบอย่างไรก็ไม่ได้ผล ไม่อาจบังคับนางให้เผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้ จึงไพล่ไปพูดอีกเรื่องหนึ่งแทน “องค์หญิงทรงรับปากไว้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะว่าจะฉลองวันเกิดกับกระหม่อม เหตุใดเพิ่งจุดโคมไฟได้ไม่ทันไรก็รีบบรรทมเสียได้ หรือทรงลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว?”
เนี่ยชิงหลินพลันรู้สึกตัวและค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ในที่สุด จึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เดิมทีก็ไม่กล้าลืมหรอก เพียงแต่คิดว่าท่านราชครูคงวิ่งวุ่นอยู่ในจวนจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ อีกทั้งวันนี้อากาศก็เย็นด้วย เลยเข้านอนเร็วหน่อย”
เว่ยเหลิ่งเหยาลูบผมยาวสลวยเรียบลื่นของนางแล้วหันไปเรียกซั่นหมัวมัว “คืนนี้มีน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็นมาก ไปหยิบเสื้อคลุมกันลมขนเตียวสีขาวที่ข้าสั่งให้คนส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนมาที แล้วเลือกชุดที่หนาสักหน่อยมาให้องค์หญิงเปลี่ยนด้วย”
เมื่อได้ยินดังนี้เนี่ยชิงหลินก็กะพริบตาปริบๆ นี่ท่านราชครูตั้งใจจะให้นางลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างนั้นหรือ ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปที่ใดอีกล่ะนี่