ซั่นหมัวมัวทำงานอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ไม่ทันไรก็นำเสื้อผ้าทั้งหมดมาให้ ราชครูเว่ยไม่ให้ใครช่วย เขาลงมือเปลี่ยนชุดให้องค์หญิงหย่งอันด้วยตนเอง หลังจากสวมเสื้อคลุมกันลมให้แล้วก็สวมรองเท้าให้นาง จากนั้นจูงนางออกจากตำหนักเฟิ่งฉูไป
รถม้าคันหนึ่งที่บุผ้าหนาในตัวรถเพิ่มเรียบร้อยได้จอดคอยท่าอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก พอราชครูเว่ยและองค์หญิงขึ้นรถม้าแล้ว ม้าก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยฝีเท้าอย่างเป็นจังหวะทันที
เส้นทางที่จะเดินทางไปนั้นไม่ไกลนัก เพียงไม่นานก็ถึงจุดหมาย ครั้นขันทีน้อยเลิกม่านรถม้าขึ้น เนี่ยชิงหลินก็มองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้และพบว่าแท้จริงแล้วที่นี่ก็คือสวนผักซึ่งน่าจะถูกทิ้งร้างไปแล้วที่อยู่ด้านหลังวังลึกนั่นเอง
ในช่วงต้นของการก่อตั้งราชวงศ์ต้าเว่ย บรรพบุรุษของราชวงศ์ต้าเว่ยตั้งใจที่จะเตือนบุตรหลานทั้งหลายของเขาให้เรียนรู้จากความผิดพลาดของอวิ้นโหวแห่งราชวงศ์ก่อนหน้านี้ผู้ลุ่มหลงในความหรูหราสุขสบาย ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายเป็นบทเรียน ไม่อยากให้คนรุ่นหลังดำเนินรอยตามจนนำความเสื่อมเสียมาสู่แว่นแคว้นเหมือนอวิ้นโหว จึงสร้างสวนผักแห่งนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ ในวันว่างหากไม่มีธุระใดก็จะพาฮองเฮาและองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายมาที่นี่เพื่อปลูกผักและผลไม้ ซึ่งอาหารทั้งสามมื้อในวังล้วนเป็นผักและผลไม้ที่มาจากที่นี่ทั้งหมด
ทว่าที่ดินแห่งนี้ไม่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกจริงๆ ผักและผลไม้ที่ปลูกออกมารสชาติไม่หวานอร่อยพอ หลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์จึงมีรับสั่งให้จัดหาผักผลไม้มาจากนอกวังหลวงแทน ที่นี่จึงถูกปล่อยปละละเลยจนค่อยๆ กลายเป็นสวนรกร้างเปล่าประโยชน์ไปโดยปริยาย
แต่ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้ถูกถมที่ปรับพื้นดินให้เรียบเพื่อสร้างโรงเรือนดอกไม้ขนาดใหญ่ตั้งแต่เมื่อใด วัสดุก่อสร้างของโรงเรือนดอกไม้ก็มีความพิเศษมากเช่นกัน โดยใช้เหล็กเนื้อดีคุณภาพสูงเป็นโครงสร้างและครอบด้วยวัสดุที่โปร่งแสงราวกับหยกอัญมณีใสดุจผลึกแก้ว หากเดินเข้ามาตอนกลางวันแสงแดดจะสาดส่องเข้ามาได้ เมื่อเข้าไปก็พบว่าโรงเรือนดอกไม้ด้านในถูกแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ กั้นด้วยไม้เถี่ยมู่* จากบนยอดเขาที่สูงที่สุดของเขากู่เหลียนซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวนับพันหลี่ในแผ่นดินต้าเว่ย ไม้เถี่ยมู่นี้มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนความเย็น ทนต่อลมและความชื้น เป็นวัสดุที่หาได้ยากยิ่งนัก
แต่ละห้องที่กั้นนั้นมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันไปตามสภาพการเจริญเติบโตของดอกไม้แต่ละชนิด บางห้องก็อบอุ่นเฉกเช่นช่วงต้นฤดูร้อน บางห้องก็ร้อนอบอ้าวจนแทบทนไม่ไหว โรงเรือนดอกไม้เต็มไปด้วยความชื้นในอากาศ ยังมีน้ำพุร้อนที่ไม่รู้ว่าผุดมาจากที่ใดไหลเอื่อยๆ ไปตามรางไม้ที่ทำจากไม้เถี่ยมู่ขนานไปกับทางเดินไม้กระดานกลางโรงเรือนดอกไม้ด้วย
ในโรงเรือนดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งนี้ไม่มีการจุดโคม แต่ดูเหมือนมีแสงสีเขียวอ่อนๆ ลอยอยู่ทั่วทุกหนแห่ง สะท้อนอยู่บนทุ่งดอกไม้อันกว้างใหญ่ประหนึ่งเป็นดินแดนเทพเซียนแสนอัศจรรย์
“องค์หญิงทรงชื่นชอบดอกไม้ แต่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว กระหม่อมจึงเชิญช่างฝีมือมาสร้างโรงเรือนดอกไม้แห่งนี้ ต่อให้ถึงเวลาที่มีหิมะตกหนักปกคลุมไปทั่วก็ไม่ทำให้องค์หญิงทรงพลาดการชมดอกไม้ที่เบ่งบานตลอดทั้งสี่ฤดูแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงทุ้มต่ำก้องกังวานของราชครูเว่ยดังขึ้นที่ข้างหู แต่เนี่ยชิงหลินกลับไม่มีเวลาแสดงความซาบซึ้งขอบคุณ หิ่งห้อยที่ปล่อยแสงสีเขียวหลายตัวบินเข้ามาใกล้อยู่ตรงหน้านาง โบยบินสะบัดหางที่เป็นมันเงาอย่างเริงร่าบนเสื้อขนเตียวสีขาวของนาง จนดูเหมือนว่าขนเตียวอันหรูหรางดงามนั้นประดับด้วยอัญมณีแวววาวเจิดจรัสอยู่หลายเม็ด
ในช่วงฤดูกาลนี้แผ่นดินต้าเว่ยยังจะมีหิ่งห้อยได้ที่ใดกันเล่า แมลงทั้งหมดรวมถึงดอกไม้นานาชนิดในโรงเรือนดอกไม้นี้เป็นสิ่งที่ราชครูเว่ยทุ่มเงินมหาศาลเพื่อไหว้วานให้น้องชายของตนจัดหามาให้ และขนส่งมาจากดินแดนโพ้นทะเลเลยทีเดียว
เว่ยเหลิ่งเหยามองใบหน้าเรียวเล็กที่ดูตื่นเต้นของเนี่ยชิงหลินแล้วก็พลันรู้สึกว่าความพยายามที่เขาทุ่มเทไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ไม่ได้สูญเปล่าเลย เนื้อหาในหนังสือนิยายรักประโลมโลกพวกนั้นล้วนเป็นการดำเนินเรื่องแบบเดิมๆ พร่ำเพรื่อของพวกซิ่วไฉ ที่อัตคัดขัดสนทั้งนั้น คิดดูสิว่าติ้งกั๋วโหวผู้ทรงเกียรติอย่างเขาหากต้องการทำให้สาวงามในดวงใจเผยรอยยิ้มแย้มยินดีออกมาจะไปทำตามเจ้าพวกยากจนนั่นได้อย่างไร คิดไปคิดมาก็พบว่าก่อนหน้านี้ตนเองเสียเวลาเดินอ้อมไปช่วงหนึ่งเชียวนะ!
คนโบราณไม่ลวงหลอก แต่หนังสือไร้สาระนี้ก็ทำร้ายคนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว