เสี่ยวชุ่ยอายุไล่เลี่ยกับเหมียวตงหยา จะคบหาเป็นสหายกันก็ไม่แปลก ดีแล้ว วันๆ เหมียวตงหยาได้แต่อยู่ในบ้านหลังเล็กๆ จะต้องเหงาอยู่แล้ว มีสหายให้คุยด้วยสักคน…ดีมากเลย
นางพยักหน้าทักเสี่ยวชุ่ย ก่อนจะหันไปต้มโจ๊กต่อ
“ท่านแม่ นี่ ท่านลืมของ ท่านพ่อให้ข้าเอามาให้” เสี่ยวชุ่ยพูดกับป้าจางเสียงดัง แม้ผู้ใดไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน
พวกคนงานกินเสร็จก็วางเหรียญสำริดเอาไว้ แล้วรีบไปทำงาน เหลือแต่เนี่ยชีคนเดียว นางเห็นเขากินจนหมดชามแล้วก็ถามขึ้น
“อีกชามหรือไม่” ปกติเขาจะกินสองชามเสมอ
ชายหนุ่มพยักหน้า ส่งชามเปล่าให้นางรับไปเติมโจ๊กให้ แล้วเผลอแตะถูกปลายนิ้วเล็กเข้าโดยบังเอิญ
นางรับชามไปด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะตักโจ๊กเติมให้เขา พร้อมยกผักมาให้อีกสองจาน
อาการเก้อเขินนั้นตกอยู่ใต้สายตาของเนี่ยชี เขาพลันเอ่ยถามขึ้นว่า “แม่นางเหมียวรสมือล้ำเลิศ คิดจะเปิดร้านของตัวเองบ้างหรือไม่”
“ไม่” เนื่องจากรู้สึกตัวว่าตอบกลับไปค่อนข้างเร็ว นางจึงเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วบอกตรงๆ “ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น”
“ไม่เคย? คิดจะตั้งแผงแบบนี้ไปทั้งชีวิตหรือ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า” นางส่ายหน้า “ข้าไม่คิดจะขายโจ๊กไปทั้งชีวิตหรอก”
เขาตกใจเล็กน้อย “เจ้ามาตั้งแผงที่นี่หนึ่งปี ไม่ได้คิดจะเก็บเงินเปิดร้าน แต่ก็ไม่ได้คิดจะตั้งแผงต่อไปเรื่อยๆ…” ความจริงเขาอยากถามว่าต่อไปนางจะทำอะไร ทว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว ปกติเขากับนางไม่ได้สนิทกันมาก ถามเช่นนี้เท่ากับเสียมารยาท
“พี่อวี๋เอิน ข้าก็จะกินโจ๊กเหมือนกัน” เสี่ยวชุ่ยปรายตามองเนี่ยชีพลางทรุดตัวลงนั่ง “คุณชายท่านนี้…เป็นลูกค้าประจำของพี่อวี๋เอินหรือ”
“แม่นางเหมียวรสมือดี ข้าจึงมากินเป็นประจำ” เนี่ยชีตอบอย่างสุภาพ
เสี่ยวชุ่ยกลอกตามองสองหนุ่มสาวสลับกันไปมา “มิน่าเล่า…” นางหยุดไปแค่นั้นอย่างจงใจ แต่พอเห็นว่าเหมียวอวี๋เอินเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาต้มโจ๊ก ส่วนชายหนุ่มก็กินโจ๊กต่อเงียบๆ ไม่มีทีท่าจะสานต่อบทสนทนา ก็แหวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “มิน่าพี่อวี๋เอินถึงไม่ยอมให้ตงหยาตามมาด้วย”
เหมียวอวี๋เอินเงยหน้าขึ้นมา ดูงงงวยอย่างเห็นได้ชัด “ตงหยาทำไมหรือ” ก่อนนางออกมายังดูดีๆ อยู่เลยนี่นา
“ตงหยาถูกท่านจับให้อยู่แต่ในบ้านจนจะล้มป่วยอยู่แล้ว” เสี่ยวชุ่ยทำตัวเป็นผู้ผดุงความเป็นธรรม “พี่อวี๋เอิน ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าตงหยาอุดอู้อยู่แต่ในบ้านจนแทบป่วยก็ยังไม่ยอมให้นางตามออกมาด้วย ตอนแรกข้านึกว่าท่านกลัวนางตามออกมาทำงานแล้วจะเหนื่อย แต่ข้าก็ยังแปลกใจมากอยู่ดี ท่านกลัวนางจะเหนื่อย ให้นางนั่งอยู่ข้างๆ คอยคุยกับท่านก็ได้นี่ ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าตัวเองคิดผิด”
“เสี่ยวชุ่ย เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า!” ป้าจางเอ็ด
“ท่านแม่ ข้าพูดความจริงนะ พี่อวี๋เอินพูดน้อย เงียบๆ อึมครึม อยู่ด้วยแล้วอึดอัด ถ้าไม่เพราะตงหยา ข้าก็ไม่อยากจะคุยกับนางหรอก ตอนแรกข้านึกว่านางเป็นพี่สาวของตงหยา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดทำเพื่อน้อง ต่อมาถึงได้รู้ว่านางไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ เสียหน่อย…”
“เสี่ยวชุ่ย!” ป้าจางตวาด “รู้ว่าอะไรควรไม่ควรบ้างหรือเปล่า นางเด็กคนนี้!”
“ท่านแม่ ข้าพูดผิดตรงไหนกัน ท่านเองก็สงสารตงหยาเหมือนกันไม่ใช่หรือ นางหน้าตาสะสวย จิตใจดี ท่าทางก็ดีกว่าพี่อวี๋เอินเป็นกอง หากให้ไปแต่งงานกับคนขายผักหรือชาวนาก็น่าเสียดาย คราวก่อนท่านบอกไม่ใช่หรือว่าพี่เฉี่ยวเซียนที่ขายผักอยู่ตรงหัวถนนเกิดไปต้องตาบุรุษดีๆ เข้าแล้วถูกรับเป็นอนุ เลยได้แปลงร่างจากอีกาเป็นนางหงส์นับแต่นั้น ท่านยังเคยพูดด้วยว่ามีคุณชายท่านหนึ่งมากินโจ๊กของพี่อวี๋เอินทุกวัน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ซ้ำยังเป็นหนึ่งในตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆ ของหนานจิง ถ้าหากว่า…”
“หุบปากนะ!”
“พี่อวี๋เอินคงตั้งใจว่ารู้จักกันนานเข้าจะเกิดรักกันขึ้นมาสินะ หากตงหยาอยู่ด้วย ไม่มีใครสนใจคนนิสัยมืดมนอย่างนางแน่ เพราะอย่างนี้ถึงไม่พาตงหยาออกมาล่ะสิ รู้จักกันนานๆ จนเกิดความรักจะไปสู้รักแรกพบได้อย่างไรเล่า”
“ยังไม่หยุดอีกหรือ อยากโดนตีใช่หรือไม่!” ป้าจางโมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เสี่ยวชุ่ยเหล่มองเหมียวอวี๋เอินอย่างเดือดดาล ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาปัดโถเกลือทิ้ง แล้วสะบัดหน้าวิ่งออกไป