ผู้สูงศักดิ์ที่ราชสำนักส่งมาครานี้คือเสนาบดีสำนักกิจการราชวงศ์เสียนอ๋องซู่อวิ้น หลังได้พบเจียงจู่วั่งและปราศรัยทักทายกันสักพัก ประโยคแรกที่เอ่ยคือการไถ่ถามถึงบุตรสาวของเขา…แม่ทัพฉางหนิงเจียงหานหยวน
“เจ็ดปีก่อนตอนที่ฉีอ๋องผู้สำเร็จราชการในปัจจุบันดำรงบรรดาศักดิ์เป็นอันเล่ออ๋อง เคยเป็นผู้แทนพระองค์ฮ่องเต้เซิ่งอู่มาที่นี่เพื่อบำรุงขวัญกองทัพ เวลานั้นเจ้าก็อยู่ด้วย น่าจะพอจำได้อยู่บ้างกระมัง”
แพขนตาของเจียงหานหยวนสั่นไหวเบาๆ มองบิดาตนเองด้วยสายตาติดจะระแวงเล็กน้อย โดยไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น
“ครานี้เสียนอ๋องซู่อวิ้นมาด้วยตนเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดประสงค์คืออะไร”
บุตรสาวยังเอาแต่นิ่งเงียบ
ผู้เป็นบิดากัดฟันเอ่ย “เขาได้รับมอบหมายจากอ๋องผู้สำเร็จราชการให้มาเจรจากับพ่อเพื่อสู่ขอเจ้าไปเป็นชายา”
อากาศในกระโจมเหมือนนิ่งค้างไปโดยพลัน
เจียงจู่วั่งมองบุตรสาวพลางฝืนยิ้ม “พ่อรู้ว่าเรื่องนี้กะทันหันเกินไป เจ้าคงยังเตรียมใจไม่ทัน อย่าว่าแต่เจ้าเลย พ่อเองก็ด้วย แต่…” เขาเปลี่ยนน้ำเสียง ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะอีกครั้งแล้วเดินระบายยิ้มไปหาบุตรสาวที่แผ่นหลังแข็งทื่อไปเล็กน้อย “แต่อ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นคนเหนือคน เก่งกาจสามารถไม่เป็นสองรองใคร รูปร่างหน้าตาหรือก็โดดเด่นยากจะหาใครมาเทียมเทียบ ตอนนั้นเจ้าก็น่าจะได้ประจักษ์กับตาตนเองมาแล้ว ที่ยิ่งกว่านั้นคือถึงอย่างไรเจ้าก็มิใช่บุรุษ สมัยวัยเยาว์ยังพอทำเนา ทว่าเวลานี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว จะเอาแต่ผลาญความอ่อนเยาว์ไปในค่ายทหารก็ใช่ที่ ถึงเวลาควรต้องหาสามีที่เหมาะสม…”
“ท่านพ่อ!” เจียงหานหยวนโพล่งออกมา “ท่านพ่อคิดจริงหรือว่าซู่เซิ่นฮุยคือสามีที่เหมาะสมสำหรับลูก ท่านพ่อคิดจริงหรือว่าคนอย่างลูกเหมาะจะออกเรือน”
นางถามติดกันสองประโยค
เจียงจู่วั่งผงะอึ้ง สบประสานกับดวงตาที่ถอดแบบมาจากมารดาของเจ้าตัวคู่นั้นอยู่ชั่วครู่ ความละอายแก่ใจอันเข้มข้นถาโถมเข้ามาในอกจนเขาแทบทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาบุตรสาวต่อ ต้องหลบสายตาที่จ้องมองมาตรงๆ ของอีกฝ่าย
กระโจมใหญ่เงียบสงัด
ผ่านไปสักพักนางก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่กลับไปราบเรียบดังเดิม
“ช่างเถิด ข้าทราบว่าท่านเองก็ลำบากใจ ท่านตกปากรับคำไปก็ได้”
นางหมุนตัวเดินออกจากกระโจมทันทีเมื่อพูดจบ ไม่รั้งรอแม้เพียงชั่วอึดใจ
แม่ทัพหญิงสาวเท้ายาวๆ ท่ามกลางค่ายใหญ่ที่ถูกปกคลุมไว้ภายใต้ความมืดมิดยามราตรี ตรงดิ่งออกไปข้างนอก ฝีเท้าเร็วขึ้นทุกที พอเดินพ้นประตูค่ายนางก็ปลดม้าที่ผูกทิ้งไว้กับหลักหินแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพใหญ่ตามท่านมาด้วยเรื่องอันใด อ้าว แล้วนั่นท่านจะไปที่ใด รอข้าด้วยสิขอรับ!”
เมื่อครู่หยางหู่ไม่ยอมไปพักผ่อน รั้นจะหอบแขนที่ได้รับบาดเจ็บมารออยู่ที่นี่ พอเห็นดังนั้นก็รีบขึ้นม้าควบตามไปทันที
อาชาพ่วงพีสีแดงพุทราที่นางขี่อยู่ตัวนี้มีชื่อว่า ‘เทียนหลง’ เป็นม้าพันธุ์ดีจากแคว้นต้ายวนที่ท่านตาของนางมอบให้ หากวิ่งเต็มฝีเท้าไม่มีทางที่ม้าธรรมดาทั่วไปจะไล่ตามทัน
หยางหู่เพิ่งจะตามออกมาได้ไม่นาน หนึ่งคนหนึ่งอาชาตรงหน้าก็หายลับเข้าไปในความมืดของรัตติกาลจนไม่เห็นแม้แต่เงา
เจียงหานหยวนควบม้าเต็มเหยียด เพียงอึดใจเดียวข้างหน้าก็เป็นผากระบี่เหล็กที่อยู่ห่างออกมาสิบกว่าหลี่ ไม่มีทางให้ไปต่อ จึงรั้งบังเหียนแล้วลงจากม้า
นางปล่อยอาชา ส่วนตนเองปีนขึ้นไปยืนอยู่บนยอดสูงของหน้าผา
หน้าผาละแวกค่ายซีสิงเมืองเยี่ยนเหมินส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผาหินดำ มองจากไกลๆ ในเวลากลางวันดูราวกับภูเขาเหล็กลูกแล้วลูกเล่าตั้งเรียงราย ชะง่อนผาที่นางยืนอยู่ในเวลานี้ก็เช่นกัน และด้วยลักษณะที่สูงชะลูด มันจึงได้ชื่อว่า ‘ผากระบี่เหล็ก’
คืนนี้เมฆดำหนาแน่นเต็มฟ้า แหงนหน้ามองไม่เห็นดวงจันทร์ แม้แต่ดวงดาวยังเร้นแสง
นางยืนรับลมหนาวยามค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วงคนเดียวอยู่นาน ก่อนจะหันกลับมาอุ้มหินก้อนหนึ่งแล้วโผนร่างลงจากหน้าผา
ในวัยเยาว์นางมาที่นี่เป็นประจำ เคยกระโดดลงจากหน้าผาเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ด้านล่างเป็นสระน้ำ ในเวลานี้ผืนน้ำดำมะเมื่อมราวกับปากยักษ์ที่โผล่อ้าขึ้นมาจากพื้นดิน
ร่างของนางทิ้งดิ่งลงไปในน้ำราวกับก้อนหิน จวบจนถึงก้นสระที่ลึกเหมือนอยู่ใต้พสุธา
ชั่วอึดใจนั้นโลกทั้งใบสงัดเงียบไร้สรรพเสียง กระทั่งหัวใจยังเหมือนหยุดเต้นโดยสิ้นเชิง
เปลือกตาทั้งสองข้างปิดสนิท นางเก็บแขนขาคู้ตัวแน่นใต้น้ำ แน่นิ่งไม่ขยับดุจทารกซุกตัวอยู่ในครรภ์มารดา
เนิ่นนานเจียงหานหยวนถึงค่อยลืมตาขึ้น เหยียดแขนขาออก ใช้ปลายเท้าถีบก้อนหินใกล้ๆ พาร่างพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็วประหนึ่งงูปราดเปรียว
ผืนธาราส่งเสียงดังซ่าเมื่อนางทะลึ่งตัวขึ้นพ้นผิวน้ำ
นางยกมือปาดน้ำออกจากใบหน้าลวกๆ เดินขึ้นมาเขียนข้อความไว้ริมน้ำ แล้วผิวปากเรียกเทียนหลง ก่อนขึ้นขี่อาชาควบทะยานออกไปอีกครั้ง
กว่าหยางหู่จะนำกำลังคนตามมาถึงตรงนี้ก็ช่วงฟ้าสาง และได้เห็นตัวอักษรที่ใช้ปลายดาบขีดเขียนไว้ตรงริมน้ำว่า
‘ไม่ต้องตามหา’