“ท่านแม่คิดจะรับสตรีสกุลชีเข้าเรือน?”
น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง
นายหญิงเซี่ยนิ่งงันไป นางชายตามองมู่ฝูหลันแล้วกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง ทอดน้ำเสียงเนิบช้า
“เจ้ามาอยู่ในสกุลเซี่ยได้นานระยะหนึ่ง เรื่องบางเรื่องเจ้าน่าจะรู้แล้ว สมัยบุตรชายข้าเป็นเด็กหนุ่ม สกุลเซี่ยมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบากอยู่บ้าง ดีที่นายท่านสกุลชีชื่นชมเขา อีกทั้งไม่รังเกียจสกุลเซี่ย ยอมยกบุตรสาวคนโตให้ ภายหลังนางเคราะห์ร้ายจากไป แม้นการหมั้นหมายถูกยกเลิก ทว่าหลายปีนี้บุตรชายข้าออกไปเผชิญโลกภายนอก ประสบความยากลำบากมากมาย ตัวข้าเองโชคดีได้สกุลชีคอยดูแลถึงมีวันนี้ได้ บัดนี้ถึงเจ้าออกเรือนมาที่นี่ แต่บุตรชายข้ากับเฟิ่งเอ๋อร์ผูกสมัครรักใคร่กันมาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเฟิ่งเอ๋อร์ก็รู้ฐานะของตนดี ยินยอมเป็นอนุ ความตั้งใจของข้าคือรอบุตรชายข้ากลับเรือนก็จะจัดการเรื่องนี้…”
มู่ฝูหลันแลมองริมฝีปากที่อ้าๆ หุบๆ กับสายตาที่ลอบพินิจตนเองของนายหญิงเซี่ยพลางฟังเสียงพูดที่คล้ายจะระมัดระวัง หากแท้จริงแล้วดึงดันเต็มเปี่ยมแล้วเริ่มใจลอยทีละน้อย
นั่นสิ นางจะไม่รู้ได้อย่างไร
หลังจากหญิงสาวออกเรือนมาไม่นาน นางก็ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ในช่วงเวลาที่สิ้นไร้ไม้ตอกของสามีก่อนแต่งนางเป็นภรรยาได้จากถ้อยคำรำพึงรำพันเป็นนิจละม้ายไร้เจตนาของนายหญิงเซี่ยได้แล้ว
ยามนั้นนายท่านเซี่ยเป็นหัวหน้าจุดพักม้า เพราะเขาไปล่วงเกินขุนนางที่ผ่านทางมาคนหนึ่งจึงโดนรุมทุบตีทำร้าย หลังกลับถึงเรือนก็กระอักเลือดเสียชีวิต บุตรชายซึ่งได้รับความยำเกรงจากผู้คนแต่วัยเยาว์ผู้นั้นของนางยังเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ ก็ไล่ตามพวกขุนนางที่ยกขบวนกลับไปแล้วปลิดชีวิตคนทั้งสิบคน จากนั้นฝากฝังมารดากับสกุลชี ส่วนตนเองหนีจากอำเภอเซี่ยไปเป็นโจรป่า
เดิมทีไม่ปรารถนาจะย้อนความทรงจำในภพก่อน แต่เสี้ยวขณะนี้จู่ๆ มันก็ถาโถมเข้าใส่นางอีกคราหนึ่ง
นางจดจำได้อย่างชัดเจนแม่นยำว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อนางแต่งเข้าสกุลเซี่ยได้ครึ่งปีกว่า ต่อมาไม่นานนักสามีของนางก็กลับคืนเรือน หลังจากเข้าหอกันแล้วนางยังไม่ทันสลัดคราบสาวน้อยไม่ประสากลายเป็นหญิงสาวเต็มตัว ยังไม่ทันดึงสติคืนจากความปีติยินดี เขาก็เอ่ยเรื่องสตรีสกุลชีขึ้นมา
ถึงแม้ก่อนออกเรือน มิใช่แค่ครั้งเดียวที่นางวาดหวังว่าวันหน้านางกับบุรุษสกุลเซี่ยที่นางแต่งงานด้วยจะเป็นเช่นเดียวกับบิดามารดาของตน มีความรักมั่นคงลึกซึ้งดุจนกปี่อี้* ยามอยู่นอนร่วมเตียง ยามตายฝังร่วมหลุม
แต่ชั่วขณะที่เขาเอ่ยปาก นางยังคงสะกดความผิดหวังเต็มอกไว้ ฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มตกปากรับคำโดยไม่อิดออด
นางในเพลานั้นช่างไร้เดียงสาปานใด ถึงกับคิดว่า…เหล็กกล้าหลอมไฟร้อยครั้งยังอ่อนลงพันรอบนิ้วได้ฉันใด ภรรยาเอกย่อมอยู่ร่วมกับอนุของสามีได้ฉันนั้น
ภายหลังนางถึงล่วงรู้ว่าในสายตาของเซี่ยฉางเกิงมีเพียงราชบัลลังก์และแผนการครองแผ่นดินเท่านั้น
บางทีสตรีนามหลิงเฟิ่งของสกุลชีผู้นี้กับเขาต่างหากจึงเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน มีแต่ตนเองที่โง่เขลา
เดิมทีตายก็ตายไปแล้ว ทั้งยังเป็นการตายอย่างไม่น่าเสียดาย แต่เมื่อปรากฏภาพเด็กหนุ่มรูปงามในห้วงฝันซึ่งเฝ้าอยู่หน้าป้ายวิญญาณของมารดาผู้ล่วงลับนานหลายปี ใช้กระบี่ของบิดาซึ่งถ่ายทอดสายเลือดให้เขาครึ่งหนึ่งปาดคอจบชีวิตตนจนชุดขาวบนร่างโชกเลือด ถ้อยคำที่เขาเปล่งเสียงถามก่อนสิ้นใจนั่นราวกับดังขึ้นที่ข้างหูอีกคราว่า ‘ท่านแม่ ลูกกระทำเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่กันแน่’ ก็คล้ายมีมีดทื่อๆ เล่มหนึ่งกรีดที่หัวใจในทรวงอกของมู่ฝูหลันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลนอง
หางตาของนางแดงระเรื่อ ปลายเล็บจิกลึกลงเนื้อกลางอุ้งมือ
“ท่านทำไปตามที่เห็นควรเถอะ ข้าไม่มีอันใดขัดข้องเจ้าค่ะ”
นางกล่าวเสียงเรียบ แต่สีหน้ากลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง
นายหญิงเซี่ยคาดเดาแต่แรกแล้วว่าลูกสะใภ้ไม่กล้าคัดค้าน ครั้นอีกฝ่ายตกปากรับคำทันทีก็รู้สึกสมใจหมายในที่สุด นางปรายตามองหีบหลายใบในห้อง ข่มความไม่พึงใจไว้กล่าวว่า “รีบไปรีบกลับเถอะ บุตรชายข้าน่าจะชนะศึกกลับเรือนมาในเวลาอันสั้นนี้แล้ว”