บทที่สอง
ทะเลสาบต้งถิงแปดร้อยหลี่ ม่านเมฆไร้ขอบเขตประหนึ่งภาพฝัน นับแต่โบราณกาล ณ กลางทะเลสาบมีภูเขาลูกหนึ่งนามจวินซาน ที่แห่งนี้ยามฟ้าหม่นปกคลุมด้วยเมฆหมอก ยามฟ้าใสอาบไล้ด้วยแสงสีรุ้งหมื่นจั้ง
คนท้องถิ่นทุกคนเชื่อว่ามีเทพเจ้าประจำเขาจวินซาน
หลังได้รับพระราชทานอาณาเขตฉางซา บรรพบุรุษของสกุลมู่ไม่เพียงสร้างตำหนักศาลบนภูเขาเป็นที่สักการบูชาท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ยังสร้างเมืองไกลออกไปทางทิศตะวันออกของทะเลสาบฝั่งตรงข้ามเขาจวินซาน ชื่อว่าเมืองเยวี่ย และตั้งเป็นเมืองหลวงของแคว้น
สองร้อยปีที่ผ่านมาเมืองเยวี่ยได้รับการบูรณะขยายเขตแดนโดยฉางซาอ๋องหลายรุ่น ปัจจุบันนี้กำแพงเมืองทิศเหนือใต้ออกตกทั้งสี่ฟากมีความยาวนับพันจั้ง ในเมืองมีผู้คนอยู่อาศัยมากกว่าสิบหมื่นคน มาตรว่าเปรียบกับจงหยวนที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูแล้วยังห่างชั้นกันไกล และยิ่งไม่อาจทัดเทียมนครแห่งโอรสสวรรค์ แต่กำแพงเมืองก็มั่นคงแข็งแรงยากทำลายลงได้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราษฎรที่ต้องเดือดร้อนทุกข์เข็ญเพราะการก่อกบฏของเจ้าแคว้นอื่นๆ อย่างไม่หยุดหย่อนในช่วงตลอดหลายปีนั้น เรียกได้ว่าชาวบ้านของแคว้นฉางซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้อันห่างไกลนี้มีชีวิตที่สุขสงบและร่มเย็นผาสุก
รุ่งเช้าของวันนี้ สำหรับชาวฉางซาที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองแล้วถือเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง พอล่วงเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบเฟิงนอกเมืองจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง หลังจากประตูเมืองเปิด ดวงตะวันลอยเคลื่อนสูงขึ้น ภายในเมืองจะพลุกพล่านขวักไขว่ไปด้วยรถม้าและผู้คนที่สัญจรไปมา
เมื่อคนบนท้องถนนเข้าไปใกล้วังของท่านอ๋องสกุลมู่ที่พวกเขาเรียกขานว่า ‘ตำหนักหลวง’ หลังนั้น ไม่มีใครไม่ผ่อนฝีเท้าช้าลง สีหน้าแววตาเผยความเลื่อมใสศรัทธา
พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าสองคืนมานี้ตำหนักหลวงที่ภายนอกดูภูมิฐานสงบเงียบดังเคย จริงๆ แล้วข้างในโกลาหลไปหมด
ยามนี้เหล่าขุนนางคนสำคัญของแคว้นฉางซาล้วนชุมนุมตัวกันอยู่ในตำหนักหลวง แต่ละคนร้อนรุ่มใจอย่างสุดแสน
วันก่อนฉางซาอ๋องมู่เซวียนชิงพาองครักษ์กองหนึ่งออกไปล่าสัตว์ ท่านอ๋องหนุ่มท่องป่ามาอย่างโชกโชน นึกครึ้มอกครึ้มใจควบม้าแยกจากผู้ติดตามไปตามลำพัง พอฟ้ามืดอาชาประจำกายวิ่งกลับมาเอง แต่เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อส่งข่าวไปถึงตำหนักหลวง ชายาอ๋องลู่ซื่อเป็นห่วงเหลือประมาณ เรียกตัวหยวนฮั่นติ่งบุตรบุญธรรมของเสนาบดีผู้ล่วงลับไปแล้วมาทันใด นางบอกข่าวที่ท่านอ๋องหายสาบสูญไปตอนล่าสัตว์ และให้เขานำกำลังคนออกตามหา
การเสาะหาดำเนินไปโดยไม่หยุดตั้งแต่ราตรีก่อนจนถึงเช้าวันนี้ ต่อเนื่องมานานหนึ่งวันสองคืนแล้ว
ทว่าจนแล้วจนรอดยังคงไม่มีเบาะแสของมู่เซวียนชิง
บริเวณที่เขาล่าสัตว์นั้นเป็นพื้นที่ภูเขาสูงป่าทึบสลับซับซ้อน ใครๆ พากันคาดเดาว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเขากลางทาง จวบจนขณะนี้ตัวเขาอยู่ที่ใดก็สุดจะรู้ได้
อีกทั้งเวลาผ่านไปนานปานนี้แล้ว…
ทุกคนล้วนมีสีหน้าสลดหม่นหมองราวกับบิดามารดาตายจาก
สำหรับพวกเขา ข่าวนี้ดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เป็นข่าวร้ายแรงมหันต์