“ท่านแม่ ท่านพ่อยังไม่กลับมาอีกหรือเจ้าคะ”
สุ้มเสียงแกมสะอื้นของเด็กหญิงดังขึ้นเบื้องหลัง
ลู่ซื่อเหลียวหน้าไปเห็นอาหรู บุตรสาววัยสี่ขวบวิ่งโผมาหาตนเอง
สาวใช้หลายคนที่ไม่เฝ้าอาหรูไว้ให้ดีวิ่งไล่กวดตามหลังนางมา พากันคุกเข่าลง “พระชายาโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อกอดร่างบุตรสาวไว้แล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ นางกระซิบปลุกปลอบ “อย่าร้องไห้ พ่อของเจ้าใกล้จะกลับมาแล้ว”
หลังจากปลอบบุตรสาวแล้วให้สาวใช้พากลับห้องไป ตัวลู่ซื่อเองจะนั่งเฉยอยู่ได้อย่างไร นางเรียกให้คนเตรียมรถม้าแล้วออกจากวังอ๋องรุดไปที่เนินซีหยวนอย่างเร่งร้อน
ด้านมู่ฝูหลันมาถึงเมืองเยวี่ยในอีกสองสามวันถัดมา
ชาติที่แล้วพี่ชายของนางมู่เซวียนชิงหรือฉางซาอ๋องผู้หนุ่มแน่นต้องเคราะห์ร้ายจากไปในวัยยี่สิบสองปีเท่านั้น เพราะประสบเหตุไม่คาดฝันในตอนนี้นี่เอง
ตอนที่พบพี่ชาย ร่างของเขาก็อยู่ใต้โตรกธารถูกพงหญ้ารกชัฏบดบังไว้นานเจ็ดแปดวัน เดาว่าเขาคงลื่นไถลพลัดตกลงไป และเสียเลือดมากเกินไปจนจบชีวิตลง
นับแต่นั้นแคว้นฉางซาก็สูญเสียท่านอ๋องคนสุดท้ายไป พี่สะใภ้กับอาหรูหลานสาววัยเพียงสี่ขวบของนางก็สูญเสียสามีและบิดาไปตลอดกาล
มาตรว่าภายหลังราชสำนักจะประทานความกรุณาต่อสกุลมู่ให้พำนักอาศัยที่เมืองเยวี่ยต่อไปได้ อีกทั้งยังคงเป็นเจ้าของวังอ๋องและได้รับภาษีในเขตเมืองเยวี่ยดังเก่า แต่จากนี้แคว้นฉางซาก็ไม่มีอยู่อีกแล้ว พี่สะใภ้ทุกข์ระทมมากเกินไป ไม่กี่ปีต่อมาก็ตรอมใจตายตามพี่ชายของนาง
มู่ฝูหลันไม่รู้ว่าชาตินี้เรื่องราวจะเป็นอย่างที่ตนเองรู้หรือไม่ แล้วผู้ถือสารไปทันเวลาหรือไม่กันแน่ พี่ชายของนางจะพ้นเคราะห์ได้แน่หรือ
นางร้อนใจเหลือจะกล่าว เร่งเดินทางเช้าจรดค่ำโดยไม่หยุดพักจนเข้าสู่แคว้นฉางซาในวันนี้ เหลือระยะทางอีกแค่ร้อยหลี่ก็จะถึงเมืองเยวี่ย
ผู้คนริมทางแต่งกายไม่ผิดแผกไปจากปกติ บนหน้าไร้วี่แววโศกเศร้า และไม่เห็นร่องรอยการแสดงความไว้อาลัยต่อเจ้าแคว้นในหมู่ราษฎร
เวลานี้มู่ฝูหลันถึงคลายใจลงได้บ้างเล็กน้อย นางสั่งให้ผู้ติดตามเร่งเดินทางต่อ มุ่งหน้าเข้าเมืองโดยเร็วที่สุด
เวลาเที่ยงวัน ตอนอยู่ห่างจากเมืองเยวี่ยอีกไม่กี่สิบหลี่ บนถนนหลวงฝั่งตรงข้ามมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น พวกเขาขี่ม้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนพบกับขบวนเดินทางของมู่ฝูหลัน
“แม่ทัพหยวน!”
มู่ฝูหลันที่นั่งอยู่ในรถม้าพลันได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้ดูแลที่ร่วมทางมาด้วยกันดังมาจากด้านหน้า นางแหวกม่านยื่นหน้าออกไป เห็นกลุ่มคนขี่ม้าสวนทางมา คนหน้าสุดเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ เรือนกายสูงใหญ่ ผิวกายคล้ำเข้ม รูปโฉมคมคาย นัยน์ตาแจ่มกระจ่าง เขาคือหยวนฮั่นติ่งบุตรบุญธรรมของเสนาบดีหยวนผู้ล่วงลับนั่นเอง นางรีบสั่งให้สารถีหยุดรถม้าแล้วร้องเรียกเสียงดัง “พี่หยวน!”
ปกติหยวนฮั่นติ่งเป็นคนเงียบขรึม แต่พอเห็นมู่ฝูหลันชะโงกตัวออกจากรถม้าร้องทักทายตนเอง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มยินดีแกมประหลาดใจ เขาพลิกกายลงจากหลังอาชาอย่างว่องไว สาวเท้าฉับๆ ไปหยุดฝีเท้าที่ข้างรถม้าของหญิงสาว จากนั้นเรียกขานนางอย่างเคารพนอบน้อม “ท่านหญิง”
“พระชายาแจ้งว่าท่านกำลังจะกลับมา หลายวันนี้ข้าไม่มีงานใดจึงออกมาตระเวนดูรอบๆ คิดไม่ถึงว่าจะพบท่านตรงนี้จริงๆ ระหว่างทางที่มาท่านสบายดีหรือไม่”
มู่ฝูหลันพยักหน้าแล้วไต่ถามเขาอย่างทนรอไม่ไหว “พี่ชายของข้าเล่า พักนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
นางมองหยวนฮั่นติ่ง รอคอยคำตอบของเขาอย่างกระวนกระวายใจ