นางรู้ว่าพี่สะใภ้ยังอยากถามตนเองว่ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก “ข้าบังเอิญโชคดีถึงช่วยเขาได้ แล้วก็เป็นสวรรค์คุ้มครองพี่เซวียนชิง วันนั้นข้าฝันเห็นท่านเทพจวินซานมาพูดกำชับกำชากับข้า พอตื่นขึ้นก็จดจำให้ขึ้นใจ และเพื่อป้องกันไว้ก่อน ข้าถึงส่งคนถือสารกลับมา หากพี่สะใภ้อยากขอบคุณ ก็สมควรไปขอบคุณท่านเทพจวินซานเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อตื่นเต้นยินดีเหลือเกิน นางพยักหน้าทันใด “ดีๆ! วันพรุ่งนี้ข้าจะเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ให้พร้อมสรรพแล้วไปขอบคุณท่านเทพที่เขาจวินซาน”
มู่ฝูหลันกล่าว “ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
ลู่ซื่อตอบตกลงแล้วไต่ถามทุกข์สุขอีกหลายคำ ถามนางว่าตอนอยู่ที่เรือนสกุลเซี่ยมารดาสามีปฏิบัติต่อนางอย่างไร แล้วชีวิตของนางเป็นเช่นไรบ้าง
มู่ฝูหลันตอบสองสามคำอย่างคลุมเครือ
ลู่ซื่อเห็นนางเหมือนไม่ใคร่เต็มใจเอ่ยเรื่องสกุลเซี่ยนักจึงกล่าวเตือน “น้องเขยทอดทิ้งเจ้าในคืนเข้าหอเพื่อไปปราบกบฏเจียงตูอ๋อง อาจจะน่าคับข้องหมองใจจริงๆ แต่ว่าหลายปีมานี้เหล่าท่านอ๋องเจ้าแคว้นในแผ่นดินพากันกระด้างกระเดื่องยกใหญ่ เกิดศึกสงครามไม่หยุดหย่อน ชายแดนก็ไม่สงบ ทั้งนี่ยังเป็นพระราชโองการด่วนจากราชสำนัก ต่อให้เขาไม่ยินยอมพร้อมใจก็สุดวิสัยจะทำอะไรได้ เจ้าอย่ากล่าวโทษเขาเลย พักก่อนข้าได้ยินว่าเจียงตูอ๋องพ่ายศึกติดๆ กัน เห็นทีเขาคงควบคุมสถานการณ์ได้สงบเรียบร้อยในเร็วๆ นี้ ถึงเวลาพวกเจ้าก็ได้พบกันแล้ว”
ขณะลู่ซื่อพูดเตือนกึ่งโน้มน้าวใจก็มีสาวใช้มารายงานว่าท่านอ๋องตื่นแล้ว พอรู้ว่าน้องสาวของตนกลับมา เขาถึงกับดีใจเป็นการใหญ่และอยากจะมาหานาง
มู่ฝูหลันรีบลุกขึ้นไปเยี่ยมพี่ชายพร้อมกับลู่ซื่อ
รูปโฉมของชาวสกุลมู่ล้วนโดดเด่นอย่างยิ่งยวด มู่เซวียนชิงยังถึงขั้นมีกลิ่นอายสูงศักดิ์เฉพาะตัวของลูกหลานเชื้อพระวงศ์แผ่รอบกาย
วันนั้นเขาไล่ตามจับเหยื่อจนพลาดพลั้งตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ระวัง หลังจากถูกช่วยมาได้แล้วพักฟื้นหลายวัน อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นไม่น้อย เหลือแต่ขาที่ยังเดินเหินไม่ค่อยสะดวก ตอนนี้สองพี่น้องได้พบหน้ากัน ต่างยินดีปรีดาไม่หยุด ครั้นถูกน้องสาวตำหนิว่าหุนหันพลันแล่น เขายังผวากลัวอยู่สักหน่อยและลอบขุ่นเคืองใจตนเอง จนเมื่อได้ยินนางกล่าวว่ากลับมาหนนี้ตั้งใจจะพำนักอยู่ที่นี่ก่อน เขาไม่หยุดคิดใคร่ครวญก็พยักหน้าทันที
“น้องพี่อยากอยู่นานเท่าใดก็เท่านั้น! ฉางซาของข้าคือบ้านของเจ้าชั่วนิรันดร์”
ดูเหมือนเหมันตฤดูปีนี้น่าจะมาเยือนเร็วเป็นพิเศษ
สตรีสกุลมู่ออกเดินทางไปครึ่งเดือนแล้ว นับวันอากาศก็หนาวเย็นขึ้นทุกที ท้องฟ้าขมุกขมัวครึ้มฝนติดต่อกัน สายลมพัดวูบมาพาไอหนาวลอดเข้ามาในคอเสื้อไม่หยุด หลังเที่ยงวัน นายหญิงเซี่ยกินอาหารแล้วง่วงงุน คนรับใช้จึงพานางไปนอนในห้อง ชิวจวี๋หลบอยู่นอกห้องกำลังแทะเมล็ดแตงอยู่ สาวใช้ทำงานต่ำต้อยในเรือนนามว่า ‘อาเมา’ คนนั้นก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เสียงฝีเท้าดังตึงตัง
ในห้องคลับคล้ายมีเสียงพลิกตัวของนายหญิงเซี่ยที่สะดุ้งตื่น
ชิวจวี๋โยนเมล็ดแตงทิ้ง รีบลุกขึ้นก้าวขาข้ามธรณีประตูไป ยกมือขึ้นดึงหูของอาเมาแล้วบิดเต็มแรง นางลดสุ้มเสียงลงก่นด่า “หูของเจ้าหายไปที่ใดกัน บอกเจ้าตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว เดินเบาๆ หน่อย ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนอนหลับอยู่”
“ไม่ใช่ๆ”
อาเมาวิ่งมายังหายใจไม่ทัน ทางหนึ่งกุมหูของตนเอง ทางหนึ่งกล่าวอธิบาย “คุณชายของพวกเรากลับมาแล้ว ท่านมาถึงหน้าประตูแล้ว!”
ชิวจวี๋นิ่งชะงักแล้วคลายมือออก จากนั้นรีบวิ่งออกไป แต่วิ่งไปไม่กี่ก้าวก็กลับมาอีก นางเปิดหีบคันฉ่องขึ้นส่องดูใบหน้า ใช้ปลายนิ้วแตะชาดแต้มกลีบปากอย่างรวดเร็ว พอเห็นจอนผมรุ่ยร่ายก็เอาน้ำมันสนหอมทาลงไปอย่างเอาเป็นเอาตาย