ขณะเอียงคอง่วนอยู่หน้าคันฉ่อง นางได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหมือนย่ำผ่านน้ำเข้ามาจากด้านนอกระลอกหนึ่งก็ปิดหีบคันฉ่องทันที หมุนกายวิ่งออกไปกระวีกระวาดต้อนรับ
ในลานเรือนมีร่างร่างหนึ่งในเสื้อฟางเยื้องย่างมา
เสมือนคนอยู่ท่ามกลางม่านหมอกในม้วนภาพวาด บุรุษผู้นั้นสวมหมวกสานสีเขียวกับเสื้อฟางเก่าๆ ฝ่าสายฝนสารทฤดูที่โปรยปรายไม่ขาดสาย สองเท้าย่ำน้ำฝนขังเป็นหย่อมบนพื้นลานจนแตกกระเซ็น เดินก้าวยาวๆ ตรงมาทางนี้
เรือนกายของชายหนุ่มสูงเพรียว ใบหน้าใต้หมวกสานคมคาย เรียวคิ้วได้รูป นัยน์ตาสุกใส ถ้าหากมีเด็กรับใช้ติดตามอยู่ด้านหลังสักคน มองปราดแรกก็คล้ายบัณฑิตหนุ่มที่เดินทางไปร่วมสอบราชการเพิ่งกลับถึงเรือน
เขาก้าวขึ้นบันไดแล้วหยุดยืนใต้ชายคา
น้ำฝนไหลมาตามขอบหมวกสานและชายเสื้อฟางก่อนหยดลงบนปลายเท้าเขาดังแปะๆ ไม่ขาดสาย ทำให้พื้นรอบๆ เปียกในเวลาอันสั้น
คนผู้นี้ก็คือเซี่ยฉางเกิง อายุยี่สิบสองปี เป็นผู้บัญชาการกองทัพเหอซีที่หนุ่มแน่นที่สุดของราชวงศ์นี้
เขาถอดหมวกสานออกแขวนกับตะขอบนผนัง ดวงตาทั้งคู่ตวัดมองชิวจวี๋ซึ่งใบหน้าซับสีแดงระเรื่อที่เพิ่งวิ่งออกจากห้องอย่างเฉยเมยพลางเอ่ยถาม “ท่านแม่ข้าเล่า”
นายหญิงเซี่ยในห้องได้ยินเสียงแล้วลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่ง หยิบเสื้อคลุมร่างแล้วลงจากเตียง นางเดินลิ่วๆ ออกมาปากก็ร้องถาม “ลูกข้ากลับมาแล้วหรือ”
เซี่ยฉางเกิงถอดเสื้อฟางเปียกชุ่มออกส่งให้อาเมาที่วิ่งมาหาตน จากนั้นก้าวข้ามธรณีประตู สาวเท้าเร็วรี่ไปหามารดา
ชิวจวี๋ยื่นมือเก้อ นางเห็นอาเมาที่หอบเสื้อฟางไว้ในอ้อมแขนอย่างดีอกดีใจแล้วมองตนด้วยท่าทางลำพองใจก็ทำหน้าตึง มองน้ำมูกที่ไหลยืดค้างอยู่ตรงจมูกของอีกฝ่ายอย่างรังเกียจ
“ยังไม่เก็บขึ้นอีก บนพื้นเปียกหมดแล้ว ระวังฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปเดินมาจะลื่นล้มได้”
อาเมาไม่โกรธเคือง นางสูดน้ำมูกกลับแล้วยิ้มกริ่ม ชี้คอเสื้ออีกฝ่าย “ตรงคอเสื้อเจ้า…”
ชิวจวี๋ก้มหน้ามองถึงพบว่ามีเปลือกเมล็ดแตงติดบนคอเสื้อตนหลายชิ้น นางหน้าแดงก่ำทันควัน รีบปัดทิ้ง พอเหลือบตาขึ้นเห็นอาเมาทำหน้าสาแก่ใจก็พูดด่าเสียงเบาๆ “เจ้าระวังตัวให้ดีเถอะ ขืนแสร้งทำบ้าใบ้แกล้งคนอีก คอยดู สักวันข้าจะตัดจมูกเน่าๆ ของเจ้าทิ้งเสีย!”
ตอนอายุห้าขวบอาเมาล้มป่วยถูกทิ้งไว้ข้างจุดพักม้า ขณะนั้นเป็นเดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ นางสวมเสื้อผ้าเก่าขาดนอนขดตัวอยู่บนพื้นหิมะคล้ายลูกแมวตัวหนึ่งก็ไม่ปาน ท่าทางใกล้จะหนาวตายรอมร่อ นายท่านเซี่ยพบเห็นเข้าแล้วบังเกิดความสงสารพานางกลับเรือนมา นายหญิงเซี่ยบ่นว่ายกหนึ่ง แต่ก็เลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ ในเรือนจึงมีสาวใช้ทำงานต่ำต้อยเพิ่มขึ้นอีกคน
อาเมาเป็นคนทึ่มทื่อ สมองไม่ใคร่ฉับไวนัก อาจเพราะตอนเล็กๆ จมูกโดนความหนาวจนผิดปกติเลยมีน้ำมูกไหลทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน เมื่อก่อนอาการหนักกว่านี้ แต่หลังจากฮูหยินน้อยมาอยู่ที่นี่แล้วตรวจร่างกายให้ หลังจากนางต้องกินยานานระยะหนึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นฟูบำรุง ถึงไม่อาจรักษาให้หายขาด แต่เทียบกับที่ผ่านมาก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว
นางไม่เกรงกลัวชิวจวี๋เช่นกัน แค่นเยาะเสียงหนึ่งก่อนพูดอุบอิบ “พอคุณชายกลับมาก็ทาแก้มแดงเหมือนก้นวานรอย่างไรอย่างนั้น งามนักหนาล่ะ”
ชิวจวี๋ตีหน้ายักษ์ ตั้งท่าจะเข้าไปบิดหูอาเมาอีก นางจึงปาดน้ำมูกสะบัดใส่ ชิวจวี๋หน้าเปลี่ยนสี ผงะถอยอย่างลนลาน
อาเมาทำเสียงฮึเชิดคางขึ้นแล้วกอดเสื้อฟางไว้กับอกแน่นๆ หมุนกายออกวิ่งไป