นายหญิงเซี่ยได้ยินบุตรชายถามถึงมู่ซื่อ อารมณ์ที่เบิกบานเต็มเปี่ยมเมื่อครู่พลันหายวับไป นางแค่นเสียงเยาะหยัน “ไปแล้ว! เมื่อครึ่งเดือนก่อนก็กลับสกุลเดิมไป แม่รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่”
เซี่ยฉางเกิงอึ้งไป
นายหญิงเซี่ยระบายทุกข์ครั้งใหญ่
“ลูกแม่ แม่จะบอกอะไรให้นะ เรื่องของภรรยาเจ้าคนนี้เล่าสามวันก็ไม่จบสิ้น แม่ไม่รู้ว่าสมควรว่ากล่าวนางเช่นไรดี หลังจากเจ้าไปแล้ว ช่วงแรกๆ นางยังนับว่าประพฤติตัวดี มาหาแม่ทุกเช้าเย็น แม่ก็ทบทวนตนเองแล้วว่ามิได้ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม จู่ๆ ครึ่งเดือนที่แล้วอยู่ดีๆ นางก็ถึงกับชักสีหน้าใส่แม่ อ้าปากบอกว่าจะกลับสกุลเดิม! แม่พูดกล่อมนางว่าเจ้าไม่ได้เจตนาจะทอดทิ้งนาง และน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ขอให้นางรออีกสักหน่อย แต่นางดื้อดึงพูดไม่รู้ฟัง ทิ้งแม่ไว้แล้วจากไปวันนั้นเลย ยังพาคนกลับไปทั้งหมดด้วย”
ยามย้อนคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น นายหญิงเซี่ยก็เดือดดาลยิ่งนัก
เซี่ยฉางเกิงตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “นางได้บอกหรือไม่ว่าเพราะอะไรถึงกลับไปอย่างกะทันหันขอรับ”
นายหญิงเซี่ยส่ายหน้า “ก็เพราะนางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น อยากจะไปก็ไป แม่ถึงได้โมโหแทบแย่ เกิงเอ๋อร์ เจ้าว่ามีลูกสะใภ้เช่นนี้ด้วยหรือ นี่มิใช่เป็นการอาศัยบารมีของสกุลเดิมของนางหรือไร แล้วแม่จะทำอันใดได้ ก็ได้แต่ปล่อยให้นางไป”
เซี่ยฉางเกิงย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาต่อ
นายหญิงเซี่ยใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเริ่มกล่าวปลอบบุตรชาย
“ช่างเถอะ! เจ้าอย่าขุ่นใจไปเลย นางอยากไปก็ไปเถอะ ขาอยู่กับตัวนาง พวกเราย่อมเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ได้ แล้วก็มิได้อยากให้นางอยู่ด้วยเสียหน่อย! แม่จะบอกเจ้าให้นะ พวกเรามีเรื่องดีๆ อีกเรื่องหนึ่ง”
ใบหน้านางเผยรอยปรีดาปราโมทย์
“ในเมื่อนางทำอย่างนี้ แม่ก็เลยบอกเรื่องของเฟิ่งเอ๋อร์ไปแล้ว นับว่านางรู้ตนเองดี มิได้พูดว่าไม่ได้ แม่คิดเอาไว้ว่ารอเจ้ากลับมาก็รับเฟิ่งเอ๋อร์เข้าเรือนเถอะ”
เซี่ยฉางเกิงไม่เปล่งเสียงตอบ
นายหญิงเซี่ยกล่าวสืบไป “แต่ก่อนตระกูลเราตกอับ ท่านพ่อเจ้าเป็นแค่หัวหน้าจุดพักม้า ดีที่นายท่านสกุลชีสายตาแหลมคม มั่นใจว่าเจ้าต้องได้ดิบได้ดีในภายภาคหน้า เป็นฝ่ายขอผูกดองกับพวกเราก่อน เพียงน้ำใจไมตรีนี้พวกเราก็ต้องจดจำไปชั่วชีวิต น่าเสียดายที่เป็นทองแผ่นเดียวกันไม่สำเร็จ แม่ไร้วาสนาจะได้ลูกสะใภ้คนนั้น ต่อมาเจ้าก่อคดีหนีไป ก็เคราะห์ดีที่ได้สกุลชีช่วยเหลือดูแล แม่ถึงอยู่รอดปลอดภัยเฝ้ารอเจ้าหวนคืนมา บัดนี้พวกเราตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้ว สกุลชีกลับโชคร้ายตกอยู่ในฐานะที่ยากลำบาก”
นายหญิงเซี่ยถอนใจเฮือกหนึ่ง
“เฟิ่งเอ๋อร์ก็ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย หลายปีนั้นไม่มีข่าวคราวใดๆ ของเจ้า จะเป็นตายร้ายดีก็ไม่รู้ แต่นางเห็นแม่เป็นดั่งแม่บังเกิดเกล้า คอยปรนนิบัติพัดวีตลอดเวลา ตอนหลังเจ้ากลับมาแล้วก็บอกว่ามีสัญญาหมั้นหมายกับสตรีเมืองอื่น ถึงแม่รู้ว่านางมีใจให้เจ้าแต่ก็สุดปัญญา พอถามนางว่ายินยอมเป็นอนุหรือไม่ นางไม่ปฏิเสธสักคำก็พยักหน้าเดี๋ยวนั้นเลย สตรีที่ดีปานนี้ เกิงเอ๋อร์จะผิดต่อนางไม่ได้เชียว”
ครั้นบุตรชายไม่เปล่งเสียงตอบดุจเดิม นายหญิงเซี่ยเริ่มไม่พึงใจทันใด
“เกิงเอ๋อร์ คงมิใช่ว่าเจ้าตบแต่งสตรีสูงศักดิ์เป็นภรรยาแล้วดูแคลนเฟิ่งเอ๋อร์กระมัง แม่จะบอกให้นะ คนเราจะอกตัญญูไม่รู้คุณคนไม่ได้”
เซี่ยฉางเกิงยิ้มบางๆ
“ท่านแม่อย่าหัวเสียไปเลย ลูกไม่ได้หมายความเช่นนี้ ในเมื่อท่านแม่พูดกับมู่ซื่อแล้ว รอนางกลับมาก็รับคนเข้าเรือนเป็นอันสิ้นเรื่อง”
นายหญิงเซี่ยถึงพออกพอใจขึ้นบ้าง เพียงแต่ยังไม่ชอบใจกับถ้อยคำของบุตรชายเล็กน้อย