ภายในตู้จัดวางอาภรณ์ของสตรีไว้จนเต็ม แพรพรรณเนื้อดีนุ่มพลิ้วดุจริ้วเมฆนานาสีสันละลานตา มีถุงเครื่องหอมงามประณีตปักลายกล้วยไม้ห้อยอยู่อย่างสงบนิ่งตรงมุมตู้
สายตาของเซี่ยฉางเกิงหยุดมองนิ่งๆ ภาพคืนเข้าหอเมื่อต้นปีผุดขึ้นในห้วงความคิดในฉับพลัน
ขณะนั้นเขาเข้ามาในห้อง เพิ่งจะปลดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาว ยังไม่ทันได้เห็นรูปโฉมของสตรีสกุลมู่เต็มตาก็มีเสียงตบประตูดังขึ้น บอกว่ามีพระราชโองการด่วนจากราชสำนักมาถึง
เขาเร่งรีบออกไป ต่อจากนั้นถอดเสื้อคลุมเจ้าบ่าว กล่าวอำลามารดาแล้วออกจากเรือนไปในราตรีนั้นเลย
ตอนจากไปเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ วันนี้กลับมาก็ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ยามนี้ย้อนคิดถึงรูปโฉมของเจ้าสาว เขาถึงกับนึกไม่ออก
เพียงจดจำได้ว่าใต้แสงเทียนไหววูบวาบ นางก้มหน้าจรดอก จอนผมดำขลับเงางาม ในความทรงจำอันเลือนรางเขาคลับคล้ายชำเลืองเห็นหน้าผากโหนกนูนเรียบเนียน งามละมุนดุจสายน้ำ
เซี่ยฉางเกิงยืนนิ่งชั่วครู่แล้วปิดประตูตู้ วางเสื้อผ้าของตนเองทิ้งไว้ด้านข้าง เขาได้ยินเสียงกวาดพื้นคละเคล้าเสียงครวญเพลงเบาๆ ของอาเมาดังมาจากระเบียงทางเดิน ลังเลใจนิดหนึ่งก่อนเดินไปข้างประตูส่งเสียงเรียกนาง
อาเมาโยนไม้กวาดทิ้งวิ่งไปที่หน้าห้อง ชะโงกหน้าถามพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “คุณชาย เรียกหาข้าเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
เซี่ยฉางเกิงไต่ถามนาง “หลังฮูหยินแต่งเข้ามาแล้ว ดูแลปรนนิบัติท่านแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องหรือไม่”
อาเมาชมชอบสะใภ้จากแคว้นฉางซาที่ไม่รังเกียจว่าตนสกปรกผู้นั้นอยู่มาก พอได้ยินก็รีบเดินเข้ามาพยักหน้าถี่รัว “ไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ นางไปรอสางผมสวมรองเท้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่หน้าเรือนแต่เช้าตรู่ทุกวัน”
“อย่างนั้นเหตุไฉนอยู่ดีๆ นางถึงกลับไป เจ้ารู้หรือไม่”
อาเมาแบสองมือไปด้านข้าง “ฮูหยินน้อยไม่ได้บอกอะไรข้านี่เจ้าคะ”
เซี่ยฉางเกิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะ “เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว เจ้าไปทำงานเถอะ”
อาเมาขานตอบในลำคอ นางหันหลังเดินออกไปสองสามก้าว พอสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วประหนึ่งสวรรค์ประทานพรให้ฉลาดหัวไวขึ้นมาโดยพลัน
“คุณชาย ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่กล้าพูด ข้ากลัวท่านจะต่อว่าข้า…”
นางมองหน้าเขาด้วยท่าทางอึกๆ อักๆ
เซี่ยฉางเกิงกล่าว “ไม่เป็นไร เจ้ารู้อะไรก็บอกมาได้เต็มที่”
ตั้งแต่เล็กจนโตอาเมามักทำผิดจนยั่วโทสะฮูหยินผู้เฒ่า ถูกด่าทอว่าโง่งมเสมอๆ แต่เซี่ยฉางเกิงเป็นคนใจเย็นมาก ไม่เคยด่าว่านางมาก่อน
เขาเขียนความเรียงได้เยี่ยมยอดมาแต่วัยเยาว์ อายุเพิ่งสิบขวบก็สอบขุนนางผ่านได้เป็นบัณฑิตเซียงก้ง อันดับหนึ่ง ทว่าพวกชาวบ้านแอบพูดลับหลังว่าเขาดูเป็นคนสุภาพมีมารยาท แต่จริงๆ แล้วสามารถฆ่าคนตาไม่กะพริบได้
คนพวกนั้นต่างหวาดกลัวเซี่ยฉางเกิงอย่างมาก แต่อาเมาไม่กลัว พอเขาให้กำลังใจ นางก็ใจกล้าขยับเข้าไปใกล้ๆ พูดเสียงกระซิบ “คุณชาย ตอนท่านไม่อยู่เรือน ข้าได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าสาธยายความดีของคุณหนูรองสกุลชีต่อหน้าฮูหยินน้อยบ่อยๆ แล้วเมื่อสองสามวันก่อนนี่เองเจ้าค่ะ ชิวจวี๋ยังพูดกับพวกข้าว่าหากมิใช่ก่อนหน้านี้คุณชายไม่อยู่เรือน คุณหนูรองสกุลชีก็ได้เป็นฮูหยินของคุณชายแต่แรกแล้ว ข้าโกรธจนทะเลาะกับนาง นางดึงหูข้า ข้าก็เลยวิ่งไปฟ้องฮูหยินน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮูหยินน้อยโกรธแล้วถึงได้จากไป”
อาเมากล่าวจบแล้วเห็นเขาไม่พูดจา เพียงมุ่นคิ้วน้อยๆ ราวกับไม่ชอบใจ ในใจนางเริ่มกระวนกระวาย พิศดูสีหน้าเขาแล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “คุณชาย…ข้าทำผิดอีกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ วันหลังข้าไม่กล้าปากมากอีก…ท่านอย่าโกรธเลย”
เซี่ยฉางเกิงดึงความคิดคืนมา เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงนุ่ม “ไม่เป็นไร ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ”
อาเมาเห็นเขาไม่ตำหนิโทษถึงระบายลมหายใจเฮือก นางพูดขึ้นอีกอย่างใจกล้า “คุณชาย เมื่อไรท่านจะไปรับฮูหยินน้อยกลับมาไวๆ เจ้าคะ นางเป็นคนดีเหลือเกิน ยังช่วยรักษาโรคให้ข้าด้วย จมูกของข้าดีขึ้นมากแล้ว ชิวจวี๋ชอบด่าข้าว่าจมูกเน่า ช่างน่าโมโหนัก!”
เซี่ยฉางเกิงพยักหน้า
อาเมาค้อมกายคำนับเขาแล้วออกไปอย่างแช่มชื่นเบิกบาน
ชายหนุ่มเหลียวมองห้องหอรอบหนึ่ง จากนั้นย่างเท้าไปริมหน้าต่างทิศใต้ เอาสองมือไพล่หลัง แลมองเมฆดำทะมึนลอยต่ำทางด้านนอกพลางจมลงสู่ภวังค์ทีละน้อย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 01 มี.ค. 64