กลางดึกของวันนั้น นางร่ำไห้จนเหนื่อยอ่อนนอนฟุบอยู่ข้างกายอาหญิง แต่แล้วเด็กหญิงซึ่งหลับสนิทอยู่ก็ตื่นขึ้นกะทันหัน
ข้างหูนางคลับคล้ายมีเสียงเพลงท่อนหนึ่งลอยแว่วมาจากซอกมุมใดของพระราชวังก็สุดรู้
‘…ทิศหรดีมีคุนหมิง เหนือท้องสมุทรปรากฏนกคายทอง…ไข่มุกแท้แลมันสมองเต่า ถ่มเศษทองคำดุจเมล็ดข้าว… ’
‘…ไม่มีทองปี้หานตกแต่งกาย ไหนเลยจะมัดพระทัยกษัตริย์…ไม่สวมเครื่องประดับฝังทองปี้หาน ไหนเลยจะได้รับความโปรดปราน…’
ยามนั้นมู่ฝูหลันตัวน้อยไม่รู้ว่าบทเพลงที่ตนได้ยินแฝงความหมายใด นางเพิ่งมาเข้าใจในภายหลังเมื่อเจริญวัยขึ้น
เล่าขานกันว่าแคว้นคุนหมิงมีนกคายทองโผบินอยู่กลางทะเลไกลโพ้น ในสมัยฮ่องเต้เว่ยหมิง แคว้นนี้นำนกนี้มาถวาย ใช้ไข่มุกแท้กับมันสมองเต่าเลี้ยงดู หลังจากนั้นมันจะถ่มทองจากปากเหมือนเมล็ดข้าว คนใดเอาไปทำเป็นเครื่องประดับศีรษะสวมใส่แต่งกายเสริมความงาม ฮ่องเต้ได้ยลโฉมเป็นต้องหยุดฝีเท้า ประทานความรักความเมตตาให้คนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้เหล่าสตรีฝ่ายในจึงต่างยื้อแย่งทองคำที่นกชนิดนี้ถ่มออกจากปาก นำไปใช้ทำเครื่องประดับ และตั้งชื่อทองคำนี้ว่า ‘ปี้หาน’ เพราะว่านกชนิดนี้ไม่กลัวความหนาวนั่นเอง
โถงตำหนักเงียบเชียบ บทเพลงนี้แว่วมาพร้อมพระพายราตรีโชยพัดเปลวเทียนข้างตัวไหววูบวาบ เสียงโหยละห้อยแผ่วๆ คล้ายล่องลอยมาจากแดนปรโลก ยามดึกสงัด ภายในห้องที่ไร้สุ้มเสียงจึงฟังดูน่าสะพรึงกลัวเป็นพิเศษ
ครึ่งปีที่อยู่ในพระราชวัง มู่ฝูหลันเคยได้ยินนางกำนัลน้อยแอบเล่าให้ฟังลับๆ ว่ามีผีสาวที่พวกนางมองไม่เห็นสิงสถิตไม่ยอมไปผุดไปเกิดอยู่ในที่ที่เรียกขานว่า ‘ตำหนักเย็น’ มาหลายร้อยปีแล้ว ถึงขั้นที่ว่าบางครั้งยามค่ำมืดดึกดื่น นางกำนัลที่โดนภูตผีวิญญาณตามหลอกหลอนยังได้ยินเสียงเพลงโหยหวนดังมาจากทิศทางนั้น
ตอนแรกมู่ฝูหลันไม่เชื่อ
เป็นไปได้อย่างไรที่สถานที่สูงส่งเจิดจรัสอย่างวังหลวง จะมีวิญญาณอาฆาตไม่ยอมไปที่ใด
แต่ชั่วขณะนี้นางกำลังตื่นกลัวเมื่อพบว่าคลับคล้ายมีเสียงเพลงพิลึกพิลั่นลอยมาเข้าหูตนจริงๆ
หากที่สร้างความพรั่นพรึงให้นางยิ่งกว่าคือนางกำนัลและนางข้าหลวงผลัดดึกที่อยู่ใกล้ๆ พวกนั้น
พวกนางไร้ท่าทีอันใด บางคนพิงเสาแอบสัปหงกเพราะอ่อนเพลียเต็มที บางคนน้ำตารินอยู่ข้างแท่นบรรทมเฝ้ามู่ฮองเฮาจากแคว้นฉางซาที่ดีต่อพวกนางเป็นนิจซึ่งตอนนี้ยังสลบไสลอยู่
ทว่าบทเพลงโหยหวนราวกับยังดังขาดเป็นห้วงๆ อยู่ที่ริมหู
ในเวลานี้เอง มู่ฝูหลันเห็นแพขนตาที่หลุบลงของอาหญิงซึ่งหมดสติไปหลายวันกะพริบเบาๆ คราหนึ่ง ก่อนดวงตาจะลืมขึ้นอย่างช้าๆ
นางฟื้นขึ้นแล้วเหม่อมองม่านคลุมผ้าต่วนปักลายหงส์กลางดงโบตั๋นเหนือศีรษะด้วยแววตาเลื่อนลอย ชั่วอึดใจต่อมามู่ฝูหลันเห็นกลีบปากของนางเผยออ้าออก พูดพึมพำอะไรสักอย่าง
สุ้มเสียงของนางเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่มู่ฝูหลันกลับอ่านจากริมฝีปากของนางได้ว่าเป็นคำร้องของเสียงเพลงแว่วๆ เมื่อครู่นี้ซ้ำไปซ้ำมา
‘ไม่มีทองปี้หานตกแต่งกาย ไหนเลยจะมัดพระทัยกษัตริย์…ไม่สวมเครื่องประดับฝังทองปี้หาน ไหนเลยจะได้รับความโปรดปราน’
‘อาหญิง!’
มู่ฝูหลันร้องเรียกเสียงหนึ่งแล้วเอื้อมจับมือของอาหญิงไว้ นัยน์ตาซึ่งมีน้ำตาปริ่มซึมแฝงความยินดีหลายส่วน
นางกำนัลและนางข้าหลวงด้านข้างได้ยินเสียงก็พากันล้อมวงเข้ามา
ใบหน้าของอาหญิงซีดเผือดราวกับหิมะขาวโพลนที่โปรยปรายเหนือยอดเขาจวินซาน
ชั่วครู่ถัดมานางค่อยๆ หันหน้ามาเอานิ้วมือเย็นเฉียบวางแตะบนมือเล็กของมู่ฝูหลันเบาๆ เปล่งเสียงอ่อนระโหยสั่งให้ทุกคนในห้องออกไปให้หมด
เหล่านางกำนัลและนางข้าหลวงถอยออกจากตำหนักด้านในอย่างปราศจากสุ้มเสียง
เสียงเพลงที่ดังอยู่ข้างโสตประสาทนั้นลอยแว่วมาอย่างไร้ร่องรอยและเงียบหายไปอย่างไร้วี่แวว
สรรพเสียงรอบด้านเงียบลง หูโล่งสงบ
อาหญิงกล่าวเสียงเบา ‘หลันเอ๋อร์ ร้องเพลงที่ชาวฉางซาของเราร้องตอนพ่อของเจ้าไต่เขาจวินซานขึ้นไปบวงสรวงขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์สักเพลงเถอะ อาหญิงไม่ได้ยินมานานหลายปีแล้ว อยากฟัง…’