มู่ฝูหลันเช็ดน้ำตาออกเป็นการใหญ่แล้วผงกศีรษะแรงๆ จากนั้นขับร้องลำเนาเพลงที่คุ้นปากนางเสียเหลือเกินเพลงนั้น
‘ไท่ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ ปราดเปรื่องดุจเทพ ทรงประทานพืชพันธุ์ หล่อเลี้ยงบำรุงชีวิตข้า…ไท่ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ เก่งกาจเทียมฟ้า ทรงแบ่งสี่ฤดู บันดาลความสมบูรณ์แก่ข้า’
เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงที่ดังสะท้อนก้องอยู่ภายในห้องกว้างอันเงียบเชียบของวังเฟิ่งอี๋ใสกระจ่างไพเราะประหนึ่งเสียงสวรรค์
มุมปากของอาหญิงโค้งขึ้นน้อยๆ อย่างเชื่องช้า
มู่ฝูหลันร้องต่อกันไปเพลงแล้วเพลงเล่า ร้องเพลงนี้จบก็ร้องอีกเพลงหนึ่งให้อาหญิงฟังเรื่อยๆ
เริ่มแรกอาหญิงนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ต่อมานางค่อยๆ หลับตาลงเหมือนว่าเหนื่อยล้าแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่ มู่ฝูหลันได้ยินนางพูดงึมงำ ‘เสนาบดีหยวน ตอนนี้สบายดีหรือไม่’
มู่ฝูหลันอึ้งไป เสียงร้องเพลงหยุดลง
นางเคยได้ยินมารดาเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงระลึกถึงว่าเสนาบดีหยวนของแคว้นฉางซาเป็นแขนขาของบิดา แต่เขาป่วยตายไปเมื่อสองสามปีก่อน
ชั่วชีวิตของเสนาบดีหยวนมิได้ตกแต่งภรรยา หลังเขาล่วงลับไปก็เหลือเพียงบุตรบุญธรรมทิ้งไว้คนเดียว ว่ากันว่าเก็บได้ข้างรังหมาป่าในภูเขาลึกตอนวัยหนุ่ม ตั้งชื่อให้ว่า ‘ฮั่นติ่ง’ มารดารับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงดูประหนึ่งลูกในไส้ เขาอายุมากกว่ามู่ฝูหลันหลายขวบ แต่กลับโอนอ่อนผ่อนตามนางทุกอย่างเสมือนพี่ชายอีกคนหนึ่งของนาง
‘อาหญิง เสนาบดีหยวน…เขาล้มป่วยจากไปแล้วเจ้าค่ะ’
มู่ฝูหลันไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดจู่ๆ อาหญิงก็เอ่ยถามถึงเสนาบดีหยวน นางชั่งใจเล็กน้อยแล้วกล่าวตอบเสียงค่อย
อาหญิงไม่ขยับตัว ทว่าแพขนตาพลันกะพริบเป็นคำรบที่สอง นางลืมตาช้าๆ คล้ายสติแจ่มใสอีกครั้ง
‘นั่นสิ เขาจากไปแล้ว…ข้าลืมไป’
นางพึมพำกับตนเองคำหนึ่งด้วยสุ้มเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
‘อาหญิง ท่านต้องหายดีนะเจ้าคะ’
ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างไหลบ่าท่วมตัวเด็กน้อยมู่ฝูหลันดั่งสายน้ำเชี่ยวกรากก็ไม่ปาน
เด็กหญิงเกาะขอบเตียง มือเล็กๆ กำฝ่ามืออ่อนนุ่มเย็นชื้นข้างนั้นของอาหญิงไว้แน่น หลั่งน้ำตาพลางเรียกขานนางไม่หยุด
อาหญิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างยากลำบาก ใช้ปลายนิ้วปาดหยดน้ำตาที่ไหลพรากๆ บนหน้าเด็กหญิงออกเบาๆ นัยน์ตาคู่งามเพ่งมองมู่ฝูหลัน กล่าวเสียงแผ่วต่ำ ‘พวกเขาล้วนบอกว่าอาหญิงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซา แต่แวบแรกที่อาหญิงเห็นเจ้า ก็รู้ว่ารอเมื่อหลันเอ๋อร์เติบใหญ่ขึ้นต่างหากจึงจะเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฉางซาโดยแท้’
นางยิ้มน้อยๆ พูดไปทีละคำๆ ‘หลันเอ๋อร์ ตลอดชีวิตของเจ้าต้องโชคดีกว่าอาหญิงแน่นอน อาหญิงจะขอพรให้เจ้าและคุ้มครองเจ้า’
นางออกแรงกุมมือของมู่ฝูหลันไว้
ละม้ายว่าต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะถ่ายทอดความปรารถนาในใจตนให้สวรรค์รับรู้ได้
นางข้าหลวงพาหมอหลวงรุดมาถึงอย่างเร่งร้อนจากทางเบื้องหลัง
ท้ายที่สุดอาหญิงก็ไม่อาจยืนหยัดผ่านด่านนั้นมาได้ นางไม่ต้องการให้มู่ฝูหลันเห็นวาระสุดท้ายของตน บอกให้คนใช้อุ้มเด็กหญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกไป
ตอนฟ้าสาง มู่ฝูหลันได้ยินนางกำนัลบอกว่าอาหญิงของนางจากไปแล้ว จากไปอย่างสงบยิ่ง สีหน้าเหมือนหลับใหลไปเฉกเช่นยังมีชีวิตอยู่