“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ท่านเห็นฮูหยินน้อยเป็นดั่งลูกในไส้ สงสารที่นางลำบากลำบนออกเรือนมาอยู่ต่างถิ่น ให้ความใกล้ชิดมากกว่าบุตรสาวแท้ๆ แต่นี่นางเพิ่งแต่งเข้ามาที่นี่ไม่ทันไร กลับไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา ปล่อยให้ผู้อาวุโสต้องคอยนานสองนานเสียแล้ว”
นางเดาะลิ้นเสียงจึกจักดังกังวาน
“บ่าวรู้แต่ว่าลูกสะใภ้ปรนนิบัติแม่สามีเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม เป็นหนแรกที่เห็นคนพึ่งใบบุญของสกุลเดิมให้แม่สามีรอลูกสะใภ้เผยโฉม”
รอยยิ้มบนหน้านายหญิงเซี่ยเลือนหายไป สีหน้าเริ่มฉายแววไม่ชอบใจอยู่สักหน่อย นางกล่าวว่า “เจ้าไปดูทางนั้นซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สายตะวันโด่งแดดส่องกลางหลังคาแล้ว หรือว่านางยังไม่ตื่นนอน?”
ชิวจวี๋ขานตอบเสียงใส เดินส่ายสะโพกตัวปลิวไปตามระเบียงยาวจนถึงเรือนปีกตะวันออกอย่างว่องไว
บรรพบุรุษของสกุลเซี่ยเป็นลูกหลานแซ่เซี่ยสายตรงที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ในราชวงศ์ก่อน ในรุ่นปู่เทียดเซี่ยยังเป็นคหบดีใหญ่ในท้องถิ่น จะพูดว่ามีที่นาอุดมสมบูรณ์นับหมื่นฉิ่งกินอาณาเขตเกือบครึ่งหนึ่งของอำเภอเซี่ยก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด เรือนประจำตระกูลหลังนี้ก็เคยเป็นคฤหาสน์หรูหราโอ่อ่าที่สุดของอำเภอ แต่ภายหลังปู่ทวดเซี่ยติดพนัน ส่งผลให้สกุลเซี่ยเริ่มตกอับ จนมาถึงรุ่นบิดาของเซี่ยฉางเกิง นายท่านเซี่ยก็ตกต่ำกลายเป็นหัวหน้าจุดพักม้าในอำเภอ อาศัยเบี้ยหวัดน้อยนิดประทังชีพเลี้ยงดูครอบครัว หลังจากเซี่ยฉางเกิงก่อคดีแล้วหนีไปตอนอายุสิบสี่ คฤหาสน์สกุลเซี่ยก็ถูกทิ้งร้างอยู่นานระยะหนึ่ง จนกระทั่งสองสามปีก่อนสกุลเซี่ยกลับมาผงาดอีกครั้ง นายหญิงเซี่ยจะย้ายกลับเรือนถึงได้ซ่อมแซมต่อเติมคฤหาสน์ ส่วนเรือนปีกตะวันออกนี้ก็ปรับปรุงใหม่อีกทีตอนต้นปีที่เขาแต่งงานกับมู่ซื่อ
เซี่ยฉางเกิงแต่งงานกับธิดาอ๋องสกุลมู่ของแคว้นฉางซาตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ
ผ่านไปครึ่งปีกว่าแล้ว ขณะนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง แม้แผ่นตัวอักษรมงคลคู่ยังติดอยู่บนประตูหน้าต่าง ทว่ามันมิอาจทนแดดและลมฝนได้ สีแดงเข้มสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลแต่เดิมค่อยๆ ซีดลงกลายเป็นสีอ่อนจางรางเลือน
“แม่นมมู่ ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นตั้งแต่เช้า รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นฮูหยินน้อย เลยใช้ให้ข้ามาดูทางนี้ ถ้าหากฮูหยินน้อยปวดหัวตัวร้อน แม่นมก็บอกกล่าวข้าสักคำ ข้าจะได้กลับไปบอกต่อ ไม่ต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าจับเจ่าเฝ้ารอไปเรื่อยๆ นะเจ้าคะ”
ชิวจวี๋ยืนอยู่ตรงหัวมุมระเบียงที่เชื่อมสู่เรือนปีกตะวันออก พูดกับแม่นมมู่ น้ำเสียงของนางอาจฟังดูนอบน้อม แต่จริงๆ แล้วแฝงความไม่เคารพอยู่ในที
ในกาลก่อนแม่นมมู่เป็นคนระดับใดเล่า
ธิดาอ๋องระหกระเหินเดินทางมาแต่งงานในที่ห่างไกลกันดารเฉกอำเภอเซี่ยนี้ตามคำมั่นสัญญา ทว่าในคืนงานพิธีมงคล เซี่ยฉางเกิงเพิ่งก้าวเข้าห้องหอ ราชสำนักก็ส่งม้าเร็วถือพระราชโองการมาเรียกตัวอย่างเร่งด่วนที่สุด เขาถอดชุดเจ้าบ่าวแล้วออกจากเรือนไปอย่างรีบร้อนในราตรีเดียวกัน มุ่งหน้าไปปราบกบฏเจียงตูอ๋องจนบัดนี้ยังไม่หวนคืนมา
ครึ่งปีกว่ามานี้ธิดาอ๋องซึ่งได้รับความรักใคร่โปรดปรานล้นเหลือจากครอบครัวในกาลก่อนคอยปรนนิบัติพัดวีนายหญิงเซี่ยทั้งเช้าเย็นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทุกๆ เรื่องต้องลงมือทำเองโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ นางล้วนมองเห็นกับตา
หากนายหญิงเซี่ยผู้นี้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็แล้วไป เผอิญนางเป็นคนจิตใจตื้นเขิน เห็นธิดาอ๋องสุภาพอ่อนน้อมและจิตใจดี อาศัยบารมีน้อยนิดของบุตรชายก็เชิดหน้าวางปึ่ง หลงสำคัญตนผิดเสียแล้ว นับวันยิ่งไม่ให้เกียรติธิดาอ๋องมากขึ้นทุกที
แม่นมมู่ล่วงรู้ว่าหัวใจของธิดาอ๋องผูกติดอยู่กับสามีสกุลเซี่ยอย่างมากถึงได้ยอมทนคับข้องหมองใจ ดังคำกล่าวว่า ‘เมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือน’ แม้ว่าในใจขุ่นเคืองเป็นทุกข์ แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยา เรื่องบางเรื่องจะพูดอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่ถนัดปาก ปกติยามอยู่ต่อหน้าธิดาอ๋องนางจึงทำได้เพียงพูดสะกิดเตือนทางอ้อม ครั้นเห็นผู้เป็นนายหาได้ใส่ใจไม่ นางเองก็ได้แต่อดกลั้นไว้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาธิดาอ๋องตื่นแต่เช้าทุกวันไม่ว่าฝนตกแดดออก มีวันใดบ้างที่มิได้ไปที่หน้าเรือนใหญ่แต่เช้าตรู่รอประตูเปิดแล้วเข้าไปปรนนิบัติมารดาสามี
มีแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดธิดาอ๋องถึงได้ชักช้าไม่ลุกจากเตียงสักที เมื่อครู่นางกลัวนายหญิงเซี่ยจะรอนานจึงส่งคนไปบอกความแล้ว