ทว่าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็มาเร่งแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่สาวใช้ต่ำต้อยที่มาจากสกุลชียังถึงกับกล้ามาพูดจาเยี่ยงนี้ที่นี่ด้วย
นี่ถ้าเป็นเมื่อครั้งวัยสาว เกรงว่าแม่นมมู่คงสะบัดฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายไปฉาดหนึ่งแต่แรก
สาวใช้สองสามคนที่รอรับใช้ธิดาอ๋องหลังตื่นนอนตรงหน้าประตูได้ยินวาจานี้ก็พากันทำสีหน้าขึ้งเคียด
จูอวี๋ซึ่งอารมณ์ร้อนมากที่สุดยากจะข่มไฟโทสะไว้ได้ นางกล่าวเสียงเย็นชา “อยู่ดีๆ ก็พูดแช่งท่านหญิงของข้าตั้งแต่เช้า อันใดคือสุกรคลุกโคลนสุนัขขี้เรื้อน* วันนี้ถือว่าข้าได้ประสบพบเห็นแล้ว”
ชิวจวี๋สะอึกไป ใบหน้าแดงก่ำทันควัน ขณะที่นางตั้งท่ากล่าวต่อเพื่อกู้หน้าคืน แม่นมมู่ก็เอ่ยปากขึ้น “ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ารอนานเป็นความบกพร่องของพวกข้าเอง แต่เมื่อครู่ส่งคนไปบอกความแล้ว ไม่นับว่าเสียมารยาทจนเกินไป อย่าลืมว่าถึงเป็นในราชสำนัก โอรสสวรรค์ก็พระราชทานอนุญาตให้ขุนนางมีเหตุติดขัดลาหยุดได้ นับประสาอะไรกับคนครอบครัวเดียวกันอย่างแม่สามีกับลูกสะใภ้”
นางกล่าวจบก็หันหน้าไปสั่งงานตันจู สาวใช้อีกคนที่สุขุมหนักแน่นกว่า “เจ้าไป! นำคำพูดเมื่อครู่ของข้าบอกต่อฮูหยินผู้เฒ่าแล้วค่อยกล่าวขอขมาอีกที ท่านผู้อาวุโสคงไม่ถึงกับถือสาหาความเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้”
ตันจูขานรับแล้วหมุนกายจะเดินออกนอกเรือน
ด้านชิวจวี๋นั้นปกติก็กริ่งเกรงแม่นมมู่ที่มาจากวังของฉางซาอ๋องผู้นี้อยู่บ้าง ขณะได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ สายตายังจับจ้องตนเองนิ่งๆ ก็กลืนถ้อยคำที่ปลายลิ้นกลับลงไปไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกจากปากอีก นางก้มหน้าหมุนกายตั้งท่าจะกลับ ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากเรือนปีกตะวันออกเลยเบนสายตาไป เห็นประตูเปิดอ้าออกแล้ว มู่ซื่อปรากฏตัวที่หน้าห้อง
ใบหน้าของนางขาวซีด ดวงตาคู่งามแดงช้ำเล็กน้อย แต่สีหน้าแววตาสงบนิ่งอย่างยิ่งยวด
ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าเหตุไฉนดูท่าทางกลับคล้ายเป็นคนละคนกับเมื่อวาน
สายตาของนางมองตรงมาที่ตัวชิวจวี๋
“เจ้าอยู่ที่นี่พอดี ไปบอกท่านแม่ให้ทราบว่าวันนี้ข้าจะออกเดินทางกลับบ้านเกิด รอเก็บสัมภาระเรียบร้อยข้าจะไปคารวะอำลาที่เรือนท่านแม่อีกที” ว่าแล้วก็หันไปทางแม่นมมู่กับพวกสาวใช้นอกประตูที่ได้ยินแล้วตกใจยกใหญ่
“เก็บข้าวของโดยเร็วที่สุด เตรียมรถม้าและจัดกำลังคน ออกเดินทางวันนี้เลย ข้าจะกลับทะเลสาบต้งถิง”
นางกำชับจบแล้วก็หันหลังกลับเข้าห้อง
แม่นมมู่เหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นางก้าวเท้าตามเข้าไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ธิดาอ๋องเดินทางออกจากทะเลสาบต้งถิง รอนแรมข้ามน้ำข้ามภูเขาตามเส้นทางแดนสู่ไปถึงขุยโจวเพื่อแต่งเข้าสกุลเซี่ย สำหรับเรื่องที่ในคืนเข้าหอเจ้าบ่าวทอดทิ้งนางจากเรือนไปอย่างรีบร้อนนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก ด้วยนับเป็นเหตุสุดวิสัย ทว่าครึ่งปีกว่ามานี้การอดทนเพื่อทุกฝ่ายของธิดาอ๋อง และการที่นายหญิงเซี่ยมองไม่เห็นความดีของนาง มีเหล่าคนรับใช้ที่ติดตามออกเรือนมายังสกุลเซี่ยคนใดบ้างที่ไม่เห็นอยู่กับตา นึกสงสารอยู่ในใจ
ไม่คิดไม่ฝันว่าตื่นเช้าขึ้นมา ธิดาอ๋องกลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พออ้าปากก็บอกว่าจะกลับทะเลสาบต้งถิง แทบจะเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานให้เลยทีเดียว
พวกสาวใช้บางคนตามเข้าห้องไปเก็บสัมภาระ บางคนวิ่งออกไปบอกให้ผู้ดูแลระดมกำลังคนงาน รีบจัดรถม้าเตรียมเดินทางอย่างว่องไวทันใด แต่ละคนทำงานกันด้วยความสำราญบานใจเต็มที่
ด้านแม่นมมู่นั้นต่างจากพวกสาวใช้ที่คึกคักร่าเริง แม้นางรู้สึกคับข้องหมองใจแทนธิดาอ๋องเป็นอันมาก และรู้สึกไม่พึงใจต่อสกุลเซี่ยอยู่บ้าง แต่การตัดสินใจนี้ของธิดาอ๋องออกจะกะทันหันเกินไปจริงๆ อีกทั้งดูผิดปกติสักหน่อย
นางนึกไปถึงดวงตาเปื้อนคราบน้ำตาอย่างปิดไม่มิดของธิดาอ๋องตอนเพิ่งเปิดประตูปรากฏตัวออกมา ในใจยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น นางเข้าห้องไปเห็นธิดาอ๋องกำลังลงมือพับอาภรณ์ตัวในสองสามชิ้นเองแล้วสองจิตสองใจเล็กน้อยก่อนจะเดินไปใกล้ๆ เอ่ยถามเสียงเบา “เมื่อเช้าท่านหญิงร้องไห้หรือเจ้าคะ จะบอกกับแม่นมได้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงอยากกลับทะเลสาบต้งถิง”
มู่ฝูหลันเบือนหน้ามาก็ปะทะเข้ากับสายตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของแม่นมมู่ที่เพ่งมองตนอยู่ พาเอาความปวดร้าวพุ่งขึ้นกลางอกอีกระลอก
มันเป็นความรู้สึกรวดร้าวที่แฝงความคับแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดไว้ แต่ก็คละเคล้าไปด้วยความซาบซึ้งใจอย่างไม่สิ้นสุดเช่นกัน