‘ตอนอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตเรียบเรียงผังวงศ์สกุลให้ท่าน เว้นข้ามวัยเยาว์ของท่านไปด้วยความระมัดระวัง เพียงบอกว่าท่านมีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ องอาจห้าวหาญเหนือใครตั้งแต่เด็ก พวกเขาไม่กล้ากล่าวถึงท่านในทางเสียหายแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าในใจท่านแจ่มแจ้งถึงความเป็นมาของตนดี ท่านเคยเป็นโจรปล้นสะดมในแม่น้ำคนหนึ่ง ได้พึ่งใบบุญของท่านตาข้าก้าวมาเป็นขุนนาง ไต่เต้าจนเป็นใหญ่เป็นโต ตอนมารดาข้าลดตัวออกเรือนไปกับท่าน น่าจะมิได้ตัดพ้อต่อว่าท่านสักคำกระมัง แล้วท่านปฏิบัติต่อนางเยี่ยงไรเล่า ปีแรกที่นางแต่งงานกับท่าน ท่านก็รับหญิงอื่นเข้าเรือนอย่างอดทนรอไม่ไหวแล้ว
ช่วงเวลานั้นข้าจำหน้าท่านพ่อได้ไม่ชัดว่าเป็นอย่างไร จวบจนข้าโตขึ้น จดจำได้แต่ว่าทุกวันยามเช้าตรู่ ไม่ว่าอากาศร้อนหรือหนาว ท่านแม่ของข้าต้องตื่นแต่เช้าไปยกน้ำชาคีบอาหารให้ท่านย่าเสมอ ส่วนชีซื่อที่ได้ชื่อว่าเป็นอนุผู้นั้นกลับได้อยู่ข้างกายท่านย่า แย้มยิ้มมองดูท่านแม่ที่เดิมเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่ต้องมาทนรับการจับผิดหาข้อตำหนิต่างๆ นานาของท่านย่าต่อหน้านาง’
หัวคิ้วของฮ่องเต้ยังมุ่นแน่นดุจเก่า ทว่าแววโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าเมื่อครู่ดูเหมือนจะลบเลือนไปทีละน้อย เขามองเด็กหนุ่มเงียบๆ โดยไม่ตัดบทอีกฝ่าย
‘เรื่องพวกนั้นก็แล้วกันไปเถอะ ท่านพ่อ ต่อมาท่านแม่ของข้าก็ตายหลังจากนางส่งข้าออกมาแล้วไม่อยากเป็นภาระของท่าน อีกทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะถอยหลังเพื่อนาง นางจึงจบชีวิตของตนเองลง ข้าไม่มีวันลืมเลือนภาพที่ข้ามองเห็นหลังจากดึงมือแม่ทัพหยวนที่ปิดตาข้าออกตอนเขาพาข้าหนีออกมา’
ขอบตาของเด็กหนุ่มแดงเรื่อ เสียงพูดสั่นเครือน้อยๆ
‘นางคือธิดาของฉางซาอ๋อง สตรีซึ่งแต่เดิมโฉมงามสูงศักดิ์ปานนั้น นางไม่สมควรโดนกระทำเยี่ยงนั้น! นางตายไปแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ละเว้นนาง อากาศหนาวเย็นเพียงนั้น นางกลับไม่มีกระทั่งอาภรณ์ปิดคลุมร่างดีๆ สักชิ้น มีก็แต่รอยแผลที่หลงเหลือจากการถูกศัตรูที่เกลียดชังท่านใช้ดาบกระบี่ฟันแทง แล้วก็เลือด เลือดไหลท่วมตัว! ศีรษะของนางห้อยลง เท้าถูกมัดด้วยเชือกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ตัวนางแกว่งไปแกว่งมาไม่หยุดตามแรงลมพัด ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างกำเริบเสิบสาน นางไร้ที่พึ่งและน่าเวทนาปานนั้น’
เด็กหนุ่มน้ำตาไหลริน ร่างผอมโดดเดี่ยวแข็งทื่อราวกับกลายเป็นหินก้อนหนึ่งไปแล้ว
สีหน้าของฮ่องเต้นิ่งขึง เขาหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเดินไปหาเด็กหนุ่มช้าๆ ยกมือจับข้อศอกของอีกฝ่ายไว้
‘ซีเอ๋อร์…’ เขาเรียกขานชื่อแรกเกิดของเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อน
ในดวงตาเด็กหนุ่มกลับมีแววเกลียดชังวาบขึ้น เขาสลัดมือของบิดาออก ถอยหลังสองสามก้าวอย่างฉับไว
‘ท่านพ่อ สิบปีแล้ว ท่านคงลืมท่านแม่ข้าไปนานแล้วกระมัง แต่ข้ากลับลืมนางไม่ลง ข้ามักฝันถึงนางบ่อยๆ ข้าไม่มีทางลืมภาพที่นางถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองได้ชั่วชีวิต ข้ามิบังอาจติเตียนท่านว่าในช่วงที่พวกข้าถูกกักขังเป็นเวลานานเกือบปี ขณะที่ท่านกำลังพิชิตใต้หล้าของท่าน ได้เคยทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดหาหนทางไปช่วยเหลือพวกข้าหรือไม่ ข้ายิ่งไม่มีสิทธิ์ร้องขอท่านให้สละเมืองที่แลกมาด้วยชีวิตของทหารแห่งนั้นเพื่อท่านแม่กับข้า ท่านมีสิ่งที่ต้องพินิจพิจารณาและชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียของท่าน ซึ่งข้าเข้าใจได้ แต่ว่าท่านพ่อ ที่ข้าไม่อาจอภัยให้ได้คือท่านกระทำอะไรลงไปบ้างในภายหลังต่างหาก ท่านปฏิบัติกับท่านแม่ข้าอย่างไรบ้าง
ท่านแต่งตั้งตำแหน่งจอมปลอมให้นางเป็นหยวนโฮ่ว พระราชทานสมัญญานามยาวเหยียดแสนไพเราะเพราะพริ้งให้นาง ยังสร้างที่ตั้งป้ายวิญญาณให้ เท่านี้ท่านก็รู้สึกสบายใจได้แล้วใช่หรือไม่’
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเริ่มพลุ่งพล่าน ใบหน้าขาวซีดซับสีแดงเรื่อ
‘ข้ารู้สึกอยู่ไม่วายว่าท่านแม่ไม่ได้จากที่นี่ไป นางกำลังมองข้าอยู่ แล้วก็มองท่านด้วย หึ เสด็จพ่อของข้า!’
‘ซีเอ๋อร์ พอได้แล้ว!’
ฮ่องเต้ตวาดกะทันหัน