“ขอบคุณในน้ำใจของคุณชายสาม คุณชายสามโปรดรอสักครู่ จือซย่า จือตงกลับมาแล้วจะให้ตามท่านไปทันที”
เซียวอวิ้นผงกศีรษะ นั่งจิบน้ำชารอ
หงจูเห็นสะใภ้รองไม่รั้งตัวคุณชายสามให้อยู่กินอาหารด้วยก็พรูลมหายใจยาว เห็นคุณชายสามไม่พูดอะไรจึงเงยหน้าพูด “สะใภ้รองมีคำพูดอะไรจะบอกคุณชายรองหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะนำคำพูดไปถ่ายทอดให้”
ฟังคำหงจูแล้ว หลี่เมิ่งซีก็รู้สึกปวดใจ สองคนที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องพรากจากกัน เวลานี้ยังจะพูดอะไรอีกเล่า
เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเงยหน้าพูดกับหงจู “หงจูกลับไปบอกคุณชายรองว่า นักปราชญ์ว่าร่างกายและเส้นผมได้รับมาจากบิดามารดา มิควรทำลาย หวังว่าคุณชายรองจะทะนุถนอมร่างกายตนเอง หายดีในเร็ววัน”
เห็นสะใภ้รองเป็นห่วงสุขภาพของคุณชายรอง คิดถึงคุณชายรองที่หมดอาลัยตายอยากแล้ว หงจูพลันรู้สึกเศร้าใจ รีบผงกศีรษะรับคำและเบือนหน้าไปทางอื่น
ในห้องเงียบงัน หลี่เมิ่งซีมองเซียวอวิ้นและคิดถึงเหตุการณ์ที่เซียวจวิ้นถูกวางยาพิษเมื่อสองปีก่อน ไม่รู้เซียวอวิ้นมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ตรึกตรองครู่หนึ่งจึงถามว่า “คุณชายสามกลับมาครั้งนี้ วางแผนไว้ว่าอย่างไรหรือ”
“ครั้งนี้ถูกพี่รองเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด่วน ยังไม่ทันได้วางแผนอะไร คอยไปก่อนแล้วกัน รอให้พี่รองหายดีและสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว ข้ายังคงอยากท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพร ถือโอกาสตามหาร่องรอยของเซียนปรุงยาด้วย”
ยังจะตามหาอีก! เห็นท่าทีจริงจังของเซียวอวิ้นแล้ว หลี่เมิ่งซีเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ภาษิตว่าคนเรามีปณิธานต่างกันไป คุณชายสามอยากท่องไปในยุทธภพ เดิมทีข้าไม่ควรห้าม เพียงแต่บุรุษเวลาตั้งตัวควรยึดถือการงานเป็นสำคัญ ไม่พูดถึงว่าคุณชายสามเกิดในสกุลสูงศักดิ์ ย่อมมีภาระหน้าที่ของสกุล จะเอาอย่างเซียนปรุงยาแก่ตัวอยู่ในป่าเขา ทำให้เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ผิดหวังได้อย่างไร”
ภาระหน้าที่ของสกุล?! เดิมทีพี่รองเป็นคนกตัญญูอย่างยิ่ง แบกรับภาระของประมุขสกุลมาตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็ยังถูกบีบคั้นจนขัดคำสั่งบิดามารดามิใช่หรือ เพียงเพื่อตำแหน่งประมุขสกุลกลับต้องพลัดพรากจากพี่สะใภ้รองที่เป็นคู่ครองที่ดีเช่นนี้ คนหนึ่งนอนป่วยอย่างเศร้าโศกอยู่บนเตียง อีกคนอยู่กับตะเกียงในอารามอย่างเงียบเหงาอ้างว้าง
คุ้มค่าแล้วจริงหรือ
สมัยเป็นเด็กมักเห็นมารดาบังเกิดเกล้าจางอี๋ไท่หลั่งน้ำตาเงียบๆ คนเดียวกลางดึก นั่นเป็นเพราะอะไรเล่า มีบิดาเป็นถึงประมุขสกุลที่ต้องแบกความรับผิดชอบของทั้งสกุลไว้ แต่กลับมิอาจปกป้องอนุรักไม่ให้ถูกรังแกได้ ปล่อยให้นางอยู่ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวอ้างว้างคนเดียว และเสียใจตามลำพัง
คำพูดเดียวของหลี่เมิ่งซีทำให้เซียวอวิ้นสะท้อนใจยิ่งนัก เขาพึมพำว่า “เกิดในสกุลสูงศักดิ์นั้นดีจริงๆ หรือ”
หลี่เมิ่งซีตกใจกับคำพูดของเซียวอวิ้น หรือว่าเซียวอวิ้น…
ระหว่างที่คิดก็เห็นจือซย่าเลิกม่านเดินเข้ามา มองหลี่เมิ่งซีกับเซียวอวิ้นด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ นางย่อกายพูดว่า “เรียนสะใภ้รอง คุณชายสาม อาหารกลางวันยกมาแล้ว บ่าวให้พวกนางรออยู่ข้างนอก จะให้ยกเข้ามาตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เมิ่งซีเหลือบมองจือซย่าแวบหนึ่ง เห็นนางพยักหน้านิดๆ จึงพูดว่า “คุณชายสามนัดกับจางอี๋ไท่แล้วว่าจะไปกินอาหารด้วย จึงไม่อยู่กินอาหารที่นี่ ให้พวกนางรออยู่ข้างนอกก่อนเถอะ เจ้ามาก็ดีแล้ว ไปเรียกจือตงมาด้วย เดี๋ยวพวกเจ้าสองคนตามคุณชายสามไปเรือนเซียวเซียง เก็บข้าวของเครื่องใช้ของข้ามาที่นี่ ใช่แล้ว นกที่ข้าเลี้ยงไว้ในสวนด้านหลังพวกนั้นก็นำมาด้วย ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
จือซย่ารีบรับคำ หันหลังออกไปเรียกจือตงที่อยู่ข้างนอก
เซียวอวิ้นเห็นสีหน้าของจือซย่าผิดปกติ เดิมทีจะสอบถาม แต่เห็นหลี่เมิ่งซีพูดเช่นนี้จึงเงียบไป
ไม่นานจือซย่ากับจือตงก็เดินเข้ามาพร้อมกันและคารวะคุณชายสาม
เซียวอวิ้นลุกขึ้นอำลาหลี่เมิ่งซี พาสาวใช้ทั้งสามเดินออกไป
จือซย่าเดินนำไปก้าวหนึ่งและเลิกม่านให้ เซียวอวิ้นก้าวออกไป พอเงยหน้าก็ชะงักอยู่ตรงนั้น เห็นบ่าวหญิงสูงวัยสองคนยืนอยู่ข้างนอก สองมือประคองถาดไว้ บนนั้นเป็นอาหารกลางวันที่ไม่ต่างจากอาหารหมูสักเท่าไร น่าจะเตรียมมาให้สะใภ้รอง
มองเห็นอาหารตรงหน้าแล้ว เซียวอวิ้นที่อารมณ์ดีมาแต่ไหนแต่ไรเส้นเอ็นบนใบหน้าถึงกับปูดนูน มองบ่าวหญิงสูงวัยทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา