ตอนเซียวจวิ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อเสร็จกลับมา หลี่เมิ่งซีก็ทำบะหมี่หยางชุนเสร็จพอดีและยกเข้ามา หงอวี้เอาผ้าชุบน้ำส่งให้เซียวจวิ้นเช็ดมือ อีกด้านสาวใช้ก็จัดสำรับแล้ว เซียวจวิ้นส่งผ้าที่ใช้แล้วให้หงจู เขานั่งลงข้างโต๊ะ ก้มหน้ามองเส้นบะหมี่สีเขียวๆ แดงๆ ในชาม แต่ไม่ได้รับตะเกียบที่หงอวี้ส่งให้ เพียงเงยหน้ามองหลี่เมิ่งซีด้วยความสงสัย
“คุณชายรอง เส้นบะหมี่นี้ข้าภรรยาใช้น้ำหูหลัวปัวและน้ำผักผสมกับแป้งจึงมีสีเช่นนี้ มักได้ยินมารดาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าประโยชน์ของผักอยู่ที่น้ำ เส้นบะหมี่เช่นนี้ย่อมมีทั้งผักและกลิ่นหอม ทั้งยังเต็มไปด้วยสารอาหาร นี่เป็นวิธีที่ข้าภรรยาเรียนรู้มาจากมารดาตอนอยู่บ้านเดิม คุณชายรองลองชิมดูก่อนว่าอร่อยหรือไม่” หลี่เมิ่งซีพูดพลางหยิบถ้วยใบเล็กขึ้นมา นางใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ใส่ถ้วย ยื่นไปตรงหน้าเซียวจวิ้น
เซียวจวิ้นรับมา ลองชิมคำเล็กดูก่อน จากนั้นก็กวาดบะหมี่ในถ้วยเล็กจนหมด สั่งให้คนใช้ชามใหญ่ตักบะหมี่มาพร้อมน้ำแกง ก่อนจะกินอย่างรวดเร็ว หลี่เมิ่งซีคอยคีบอาหารให้ข้างๆ อย่างระวัง ลอบคิดในใจ ไม่พูดยามกิน ไม่คุยยามนอน ธรรมเนียมนี้ช่างดีจริงๆ
ปรนนิบัติเซียวจวิ้นกินอาหารเช้าเสร็จ บ้วนปาก และเก็บชามตะเกียบออกไปแล้ว สาวใช้ก็ยกน้ำชาเข้ามา เซียวจวิ้นนั่งดื่มน้ำชาที่โต๊ะ
หลี่เมิ่งซีให้หงจูปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งกายเรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นพูดกับเซียวจวิ้น “คุณชายรองกินอาหารเช้าเสร็จแล้วพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าภรรยาจะไปคารวะเหล่าไท่จวิน”
“ท่านย่าบอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องไป เหตุใดจึงจะไปอีกแล้ว” เซียวจวิ้นมองหลี่เมิ่งซีและถาม
“คุณชายรองสุขภาพไม่ดี ไม่ได้ไปคารวะเหล่าไท่จวินนานแล้ว บัดนี้เพิ่งหายจากโรค แม้ยังมิอาจไปคารวะได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าภรรยาปรนนิบัติอยู่ตรงหน้าตลอดเวลาแล้ว ในเมื่อข้าภรรยาแต่งงานกับคุณชายรองแล้ว ย่อมสมควรไปคารวะผู้อาวุโสแสดงความกตัญญูแทนคุณชายรองอย่างเต็มที่ นี่เป็นหน้าที่ของข้าภรรยาเจ้าค่ะ”
คิดจะไปประจบผู้นำสูงสุดของคฤหาสน์สกุลเซียว ย่อมต้องหาข้ออ้างที่เหมาะสม หาไม่แล้วย่อมฟังดูไร้เหตุผล ช้าเร็วก็ต้องถูกเซียวจวิ้นขัดขวางแน่ หลี่เมิ่งซีขบคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล โกหกได้โดยหน้าไม่แดง หัวใจไม่เต้นรัวแม้แต่น้อย
เซียวจวิ้นฟังนางพูดเช่นนี้แล้วรู้สึกมีเหตุผลจึงผงกศีรษะตอบว่า “เจ้าพูดก็ถูก ลำบากเจ้าอุตส่าห์มีใจเช่นนี้แล้วก็รีบไปเถอะ ช่วยคารวะท่านย่าแทนข้าด้วยและอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนท่านย่า ไม่ต้องรีบร้อนกลับมา บอกท่านย่าว่าข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ไม่ต้องกังวล ประเดี๋ยวข้าจะไปดูที่ห้องหนังสือสักหน่อย ไม่ได้สะสางเรื่องราวต่างๆ มานาน มีงานสุมอยู่เป็นกอง”
ตอนหลี่เมิ่งซีมาถึงเรือนโซ่วสี่ นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ คุณชายใหญ่เซียวชิง สะใภ้ใหญ่จางซื่อ คุณชายสามเซียวอวิ้นล้วนมาถึงก่อนนานแล้ว พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ เหล่าไท่จวินสั่งตั้งสำรับแล้ว เห็นหลี่เมิ่งซีเข้ามาก็ถาม “บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องมาคารวะ เหตุใดจึงมาอีกแล้วเล่า วันนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่เมิ่งซีทำความเคารพและเอ่ยทักทาย ก่อนจะก้าวขึ้นไปตอบ “คุณชายรองเป็นคนสั่งให้หลานมาเจ้าค่ะ คุณชายรองบอกว่าหมู่นี้ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่อาจแสดงความกตัญญูต่อเหล่าไท่จวินได้ จึงให้หลานมาแสดงความกตัญญูแทน ทั้งยังให้หลานเรียนเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ว่าสุขภาพของคุณชายรองดีขึ้นมากแล้ว เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดย่อมเข้าใจดีว่าการที่หลานสะใภ้ชมหลานชายต่อหน้าย่าของสามี ย่อมได้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าการชมตนเองเสียอีก เห็นใบหน้าของเหล่าไท่จวินมีรอยยิ้มจึงพูดต่อ “คุณชายรองยังบอกหลานว่าไม่ต้องรีบร้อนกลับไป คุณชายรองจะไปห้องหนังสือสักหน่อย สั่งให้หลานอยู่ปรนนิบัติเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และนายหญิงใหญ่ที่นี่เจ้าค่ะ”
“จวิ้นเอ๋อร์อุตส่าห์มีใจกตัญญูเช่นนี้ ในบรรดาหลานหลายคน จวิ้นเอ๋อร์นับว่ากตัญญูที่สุด ปกติเอ็นดูเขาไม่เสียเปล่าจริงๆ เพียงแต่อยากกำชับเขาว่าโรคเพิ่งจะหายดี อย่าทำให้ตนเองเหน็ดเหนื่อย”
หลี่เมิ่งซีรีบผงกศีรษะรับคำ ยามนี้เหล่าไท่จวินก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ผงกศีรษะติดๆ กัน ไม่ได้สนใจสีหน้าของคุณชายใหญ่กับคุณชายสามด้านข้างแม้แต่น้อย คุณชายใหญ่กับคุณชายสามย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ก็จนปัญญา ใครให้ผู้อื่นแต่งภรรยาที่ช่างเอาอกเอาใจเช่นนี้เล่า คุณชายใหญ่มองภรรยาผู้อื่นที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยและปากหวานช่างพูด พอหันมามองสะใภ้ใหญ่ของตน แม้จะเรียบร้อยมากเช่นกัน แต่กลับไม่รู้จักเอาใจท่านย่า กลายเป็นว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ ท่านย่ากลับว่าไม่กตัญญู แต่เมื่อคิดถึงหลี่เมิ่งซีที่น่าสงสารและไม่เป็นที่รักของน้องรองแล้ว ทำอย่างไรเขาก็เกลียดนางไม่ลง