หลี่เมิ่งซีเองก็เพิ่งรู้กฎธรรมเนียมข้อนี้เช่นกัน นางอดไม่ได้ที่จะลอบสะท้อนใจในความน่าเศร้าของการเกิดเป็นสตรีในยุคสมัยนี้
สะใภ้ใหญ่ฟังแล้วรีบลุกขึ้นคุกเข่า “เหล่าไท่จวินกล่าวถูกต้อง หลานเลอะเลือนไปเจ้าค่ะ ต่อไปหลานจะตักเตือนคุณชายใหญ่ให้มาก”
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ พรุ่งนี้ส่งบ่าวชายไปรับกลับมาแต่เช้า จะปล่อยให้นางกลับไปอยู่บ้านเดิมเช่นนี้ไม่ได้ กลับมาแล้วก็ลงโทษกักบริเวณในเรือนสามวัน คัด ‘ข้อห้ามสตรี’ สิบจบ ให้นางจดจำให้ขึ้นใจ อย่าคิดว่าจะอาศัยใบหน้าเหมือนนางจิ้งจอกของตนเองยุยงให้คุณชายใหญ่ทำอะไรนอกกฎธรรมเนียมได้”
“เจ้าค่ะ หลานทราบแล้ว” สะใภ้ใหญ่รับคำพลางลุกขึ้น
เหล่าไท่จวินมองหลี่เมิ่งซีก็คิดถึงโจ๊กกับขนมที่นางส่งมาให้เมื่อวาน “ขนมที่ส่งมาเมื่อวานซีเอ๋อร์ก็ทำเองหรือ ข้าไม่เคยกินมาก่อน โจ๊กอะไรสักอย่างที่ส่งมาเมื่อวานก็อร่อยมาก ปกติเห็นของพวกนั้นเป็นเพียงต้นหญ้า ก็คิดว่ากินไม่ได้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าพอตั้งใจทำออกมาแล้ว รสสัมผัสจะนุ่มลื่น กินลงไปแล้วหอมทีเดียว เทียบได้กับอาหารหรูหราราคาแพงเชียวล่ะ”
“เหล่าไท่จวิน นั่นเรียกว่าโจ๊กอายุยืนเจ้าค่ะ ไหนเลยจะเทียบกับอาหารหรูหราราคาแพงได้ เพียงแต่ปกติเหล่าไท่จวินกินอาหารล้ำค่าจนชินแล้ว พอเปลี่ยนมากินโจ๊กผักรสอ่อนบ้างเป็นบางครั้งย่อมรู้สึกแปลกใหม่ ขนมเมื่อวานก็เรียกว่าขนมดอกกุ้ยใส่น้ำผึ้งเจ้าค่ะ เอาน้ำผึ้งอย่างดี ไข่ไก่ ดอกกุ้ย และแป้งมานึ่ง ถ้าเหล่าไท่จวินชอบกิน วันหน้าหลานจะทำให้ท่านกินบ่อยๆ หลานยังเรียนรู้การทำอาหารอื่นๆ มาจากมารดาอีกมาก ไว้มีเวลาจะทำให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีพูดเอาใจเหล่าไท่จวิน ลอบคิดว่า หากใช้เตาอบในยุคปัจจุบันอบจะอร่อยยิ่งกว่านี้อีก น่าเสียดายที่ที่นี่คือยุคโบราณ
“ดี ดี หายากที่ซีเอ๋อร์มีใจกตัญญู ข้าแต่งหลานสะใภ้ที่ดีคนหนึ่งเข้ามา นับว่าเป็นลาภปากเสียแล้ว วันใดทำแล้วเอามาให้ข้าลองชิมนะ ขาดอะไรก็ไปเอาจากนายหญิงใหญ่ได้เลย”
“ตอนอยู่บ้านเดิมสะใภ้รองจัดการงานบ้านงานเรือนอยู่บ่อยๆ หรือ ช่างมีไหวพริบและมีฝีมือโดยแท้!” สะใภ้ใหญ่ถาม
หลี่เมิ่งซีตกใจ ลอบอุทานว่าตนเองประมาทเสียแล้ว นางเป็นคุณหนูสายตรงของสกุล จะมาจัดการงานบ้านงานเรือนได้อย่างไร บุตรสาวสกุลใหญ่ทั้งหลาย ต่อให้เกิดจากอนุ ก่อนออกเรือนก็ไม่อาจจัดการงานในบ้านได้ จะปล่อยให้คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาพบปะกับบ่าวชาย สาวใช้ และบ่าวหญิงสูงวัยทั้งเรือนได้อย่างไร ถือเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียง และทำลายเกียรติของตนเองเปล่าๆ
แต่เหตุใดสะใภ้ใหญ่ถึงถามเช่นนี้เล่า คิดแล้วจึงรีบตอบว่า “ตอนหลานอยู่บ้านเดิม งานบ้านงานเรือนมารดาล้วนเป็นผู้ดูแลจัดการโดยมีอี๋เหนียงทั้งห้าคอยช่วยเหลือ มารดาไม่เคยให้หลานจัดการเลย ทั้งยังไม่เคยเอ่ยถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลาน เพียงแต่มารดามักบอกว่าสตรีออกเรือนไปแล้วต้องกตัญญูพ่อแม่สามี เกื้อหนุนสามีอบรมบุตร ดังนั้นเวลามารดาทำอาหารให้บิดาในห้องครัวเล็กจึงมักให้หลานอยู่ข้างกายเสมอ ให้หลานคอยดูไว้ ทั้งยังชี้แนะเรื่องที่หลานไม่เข้าใจให้ฟังอยู่บ่อยๆ มักอบรมหลานว่าวันหน้าออกเรือนไปแล้ว ต้องพยายามทำอาหารให้แม่สามีกับสามีกินด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
“ลำบากบิดามารดาของเจ้าแล้วที่อบรมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนว่าง่ายและกตัญญูถึงเพียงนี้ นี่นับเป็นวาสนาของจวิ้นเอ๋อร์” เหล่าไท่จวินพูด
ตอนนี้ในใจหลี่เมิ่งซีรู้สึกร้อนตัว นางไม่รู้สถานการณ์ของบ้านเดิมของตนเองในตอนนี้เลยจริงๆ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่อยู่คฤหาสน์สกุลหลี่ มีเพียงจ้าวอี๋เหนียงมารดาบังเกิดเกล้าของนางมาพูดคุยด้วยเท่านั้น ‘มารดา’ ที่นางพูดถึงอยู่บ่อยๆ นั้นจะอ้วนหรือผอมนางยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ด้วยกลัวเหล่าไท่จวินซักไซ้ต่อไปแล้วจะเผยพิรุธ ครั้นเห็นเหล่าไท่จวินบิดคอบ่อยครั้ง เวลายกแขนก็ต้องออกแรงเล็กน้อย นางจึงรีบถาม “เหล่าไท่จวินไม่สบายไหล่หรือเจ้าคะ”
“โรคเก่าน่ะ สมัยสาวๆ ถูกลมหนาวเข้า เลยทิ้งโรคเรื้อรังไว้ นับแต่นั้นมาพอเหนื่อยก็จะรู้สึกแขนไม่มีแรง หลายปีมานี้หาหมอมามากมาย แต่ยังไม่อาจรักษาให้หายขาด เมื่อคืนนอนตกหมอนอีก ตอนนี้จึงรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง เฮ้อ ข้าแก่แล้ว ร่างกายไม่เอาไหนจริงๆ โรคอะไรก็ถามหาทั้งนั้นละ!” เหล่าไท่จวินนวดไหล่ขวาพลางพูด
หลี่เมิ่งซีเดาว่าเหล่าไท่จวินน่าจะเป็นโรคจำพวกข้ออักเสบ การนวดเป็นวิธีการรักษาที่ดีมากสำหรับโรคจำพวกนี้ แต่ทักษะการนวดสมัยโบราณยังไม่เป็นที่นิยม อีกทั้งหมอส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษ ในยุคสมัยนี้หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน สตรีจะให้หมอตรวจโรคยังต้องมีม่านกั้น และได้แต่ยื่นมือออกมา วางผ้าเช็ดหน้าบนข้อมือและให้หมอตรวจชีพจร หาไม่แล้วการตรวจชีพจรผ่านเส้นด้าย จะโด่งดังได้อย่างไรเล่า ดังนั้นแม้แต่เหล่าไท่จวินของคฤหาสน์สกุลเซียวที่ร่ำรวยมหาศาลก็ยังไม่ได้รับความสุขจากการนวด ได้แต่ให้สาวใช้บีบขาทุบไหล่ทุกวันเท่านั้น